Vogue More Bow Maylada Coach
VOGUE MORE

VOGUE MORE | ชีวิตหลากเฉดสีของ 'โบว์-เมลดา' จากเกิร์ลกรุ๊ปสู่นางแบบและนักแสดงน่าจับตา

หลายคนลืมไปแล้วว่า 'โบว์-เมลดา' คนนี้ แจ้งเกิดมาจากการเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังมาก่อน...#VogueMore #CoachNY #TabbyBag

ช่างภาพ : เอกรัชต์ อุบลศรี

สไตลิสต์ : ตะวัน ก้อนแก้ว

นางแบบ : เมลดา สุศรี

แต่งหน้า : จีระ เจริญธมะสุข

ทำผม : ศราวุฒิ ลาปะ

เรื่องและสัมภาษณ์ : พีรณัฐ จันทร์สกุลณี

อาร์ตไดเร็กเตอร์ : วิวาน วรศิริ

กราฟิกดีไซเนอร์ : บพิตร วิเศษน้อย

โททัลลุค: Coach

------------------------------------------------------------------------------

 

     หากถามว่า เรารู้จัก ‘โบว์-เมลา สุศรี’ ในบทบาทใดในวงการบันเทิง บ้างก็คงจะตอบว่าซูเปอร์โมเดลที่แจ้งเกิดจากเวที Thai Super Model บ้างก็ว่านักแสดงหญิงมากฝีมือน่าจับตา ทว่าสิ่งที่หลายคนอาจหลงลืมไปแล้วนางแบบและนักแสดงสาวคนนี้ แท้จริงแล้วแจ้งเกิดมาจากเป็นหนึ่งในสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปนามว่า Kiss Me Five หนึ่งในเกิร์ลกรุ๊ปที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้กรุยทางให้กับ T-Pop อุตสาหกรรมที่กำลังขึ้นหม้อถึงขีดสุดของวงการเพลงไทย

     โบว์เล่าให้โว้กฟังหลังจากที่นั่งคิดอยู่พักใหญ่ว่า ช่วงแรกที่เธอตัดสินใจเข้าร่วมออดิชั่น ตอนนั้นเธอมีอายุแค่ 13-14 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเด็กมาก ตอนแรกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องออดิชั่นไปเป็นนักร้องจริงจัง รู้เพียงแค่ว่าทีมแคสติ้งต้องการแค่คนที่ตัวสูง ขายาว ร้องเพลง และเต้นได้ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการเรียนเต้นมากมายนัก ให้แค่รุ่นพี่โรงเรียนเป็นคนสอน โบว์จำได้ว่าตอนนั้นเธอฝึกเต้นเพลง Gee ของศิลปินเกิร์ลกรุ๊ป Girls' Generation ที่ทำให้เธอออดิชั่นผ่าน และได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปในที่สุด

     โบว์เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า “ตอนนั้นที่เข้าไปเป็นเกิร์ลกรุ๊ปกระแสตอบรับดีมากพอสมควรเลยนะ แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่หนักหน่วงมากเหมือนกัน โบว์ก็ได้ฝึกทักษะการเต้น และการร้องแบบเต็มที่ แล้วโบว์ก็ยังได้สัมผัสกับประสบการณ์หลายอย่างจากตรงนั้น ทั้งการวางตัวกับผู้คน การเอาตัวรอด และความอดทน มันเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่สร้างความอดทนให้เราจนถึงทุกวันนี้”

Vogue more

     หากพูดกันตามตรง ช่วงเวลาในการเดบิวต์เป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่มีภาพลักษณ์ไร้เดียงสาของโบว์หรือเด็กสาวอีกหลายชีวิต มีเวลาที่จำกัด และมีวันหมดอายุที่ไม่ได้ยืนยาว เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะช่วงวัยที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าที่จะไร้เดียงสาไปตลอดกาล เด็กสาวบางคนก็เลือกที่จะบอกลาวงการนี้ไปอย่างเงียบเชียบในวันที่เธอโตเป็นผู้ใหญ่ ทว่าไม่ใช่สำหรับโบว์...หลังจากประสบความสำเร็จบนสายทางการเป็นศิลปิน โบว์ยังไม่หยุดนิ่ง กลับมาโลดแล่นในวงการบันเทิงอีกครั้งในฐานะซูเปอร์โมเดลดาวรุ่ง ผู้ชนะรางวัลจากเวทีประกวด Thai Super Model ประจำปี 2013 หนึ่งในใบเบิกทางสำคัญที่ทำให้เธอกลายเป็น ‘โบว์-เมลดา’ อย่างทุกวันนี้

     “ตอนนั้นที่โบว์ประกวด Thai Super Model ที่เห็นว่าตอนเดินไปรับรางวัลไม่ยิ้มเลย เพราะว่ามันเป็นแพตเเทิร์นของเวที แต่ข้างในมันเกินคำว่าดีใจไปแล้วจริงๆ  โบว์และเพื่อนๆ ผู้เข้าประกวดซ้อมกันหนักและนานร่วมสัปดาห์ได้ แถมตอนซ้อมมีกฎว่าห้ามถอดรองเท้าออก ถ้ามีใครสักคนถอด ทุกอย่างจะเริ่มใหม่หมด แถมปีนั้นเวทีก็ถูกออกแบบให้มีความชันมาก ดังนั้นนางแบบผู้เข้าประกวดในปีนั้นก็จะไม่มีใครกลัวเวทีชันอีกเลย เพราะเราฝึกก้าวยาวมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว  และถ้าถามว่าชอบกว่าตอนเป็นศิลปินไหม ก็ต้องตอบตรงๆ ว่า ชอบกว่าตอนเป็นศิลปินเยอะเลยตอนนั้น โบว์ว่ามันดูเข้าทางเรามากกว่า”

     จากนางแบบที่ไม่ขอแตะงานแสดงเลย เพราะไม่เคยเข้าใจว่าการแสดงละครคืออะไร ฝังตัวเองอยู่เพียงในพื้นที่แห่งความปลอดภัยของการถ่ายแบบและเดินแบบเท่านั้น การข้ามมาสู่สายทางของงานแสดงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับโบว์...

     โบว์ถึงกับเผยกับโว้กว่า เรื่องแอ็กติ้งสำหรับเธอเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจเลยว่าการเล่นละครคืออะไร วิธีการจำบทเป็นอย่างไร เพราะเราไม่เคยมีโอกาสได้ลองมาก่อน ไม่เข้าใจขนาดที่มีคำถามกับตัวเองว่า การมานั่งร้องไห้นี่เขาทำกันอย่างไร เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กมาก เธอยอมรับว่าเธอไม่เคยเศร้ากับอะไรเลย หรือแม้แต่เธอโกรธไม่เป็น เธอจะร้องไห้ได้ก็ต่อเมื่อโดนตีเพราะเจ็บ แค่นั้น แต่เพราะมีพี่ๆ หลายๆ คนที่คอยกำกับการแสดงของเธอจึงทำให้เธอผ่านมันมาได้ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าทุกวันนี้ทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด เพราะโบว์ยังยอมรับกับโว้กต่อไปอีกว่า ทุกวันนี้เธอก็ยังเป็นอยู่ ยิ่งคู่แสดงเล่นส่งมาให้ไม่ถึง เธอก็จะรู้สึกว่ายากขึ้นมาทันที

Vogue more

     “หนทางที่ผ่านมาทั้งยากและง่าย” โบว์บอก “แต่อะไรหลายๆ อย่างที่โบว์ทำก็เป็นอะไรที่โบว์ชอบ โบว์คิดว่าที่ยากก็เพราะโบว์ต้องทำงานกับคนนี่แหละ แล้วคนก็มีหลากหลายมากอย่างที่ทุกคนรู้กัน โบว์ไม่รู้เลยว่าคนที่เราทำงานด้วยเขาชอบอะไร ที่โบว์กำลังทำอยู่นี้เขาชอบไหม กลายเป็นว่าโบว์ต้องเป็นคนที่ต้องคอยสังเกตคนมากกว่าเดิม” โบว์เล่าให้โว้กฟังต่อไปในฐานะของคนที่เข้ามาโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงกว่าทศวรรษอีกว่า “วงการบันเทิงตอนนั้นต่างกับตอนนี้มาก อย่างหนึ่งคือตอนนั้นโซเชียลมีเดียเพิ่งเข้ามา เหล่าแฟนคลับก็จะมีความสุขกับการได้เจอกับศิลปินตัวจริงมากกว่า เขาไม่มีอะไรให้ติดตามเหมือนตอนนี้ การแอบถ่ายคือเรื่องว้าวมากๆ หนังสือกอสซิปรุ่งเรืองมาก แต่ในปัจจุบันโซเชียลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การทำงานก็จะต้องเปลี่ยนไป ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องเจอตัวจริงของเราแล้ว เพราะเจอตามสื่อได้มากขึ้น หรือความรู้สึกของการเจอดาราตัวเป็นๆ ก็จะเปลี่ยนไป ทุกคนมีความรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดเรามากขึ้น เพราะติดตามได้จากโซเชียลมีเดียแล้ว”

     แม้ว่าทุกวันนี้โบว์จะขึ้นแท่นเป็นนักแสดงมืออาชีพแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังต้องพัฒนาและพบเจอเรื่องไม่คาดฝันอยู่เสมอ สิ่งที่ยากที่สุดที่โบว์ยอมรับกับโว้กในฐานะของนักแสดงก็คือ ‘การที่ยังคงความเป็นตัวเองไว้อยู่’ พร้อมให้เหตุผลว่าการทำงานอาชีพนักแสดงนั้นเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก เพราะนักแสดงต้องทำงานโดยตั้งอยู่บนสุนทรียะทางอารมณ์เป็นหลัก ปัจจัยรอบข้างของสังคมจึงมีผลมากที่ทำให้นักแสดงหลายคนเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ กระนั้นอาชีพ ‘นักแสดง’ ก็คือตัวตนจริงๆ และดูจะถูกต้องที่สุดของเธอในเวลานี้ เมื่อเทียบกับ 2 บทบาทที่เธอเคยผ่านมา เธอขอเป็นนักแสดงที่ร้องเพลงได้ และก็สามารถถ่ายแบบได้ เดินแบบได้ด้วย เพราะอะไรพวกนี้จำเป็นต้องใช้ทักษะการแสดงมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น



WATCH




Vogue more

     สุดท้ายโบว์ยังเปรียบตัวเธอเองเป็นเฉดสีชมพูหรือม่วงบนกระเป๋า Tabby Bag ของ Coach ด้วย เพราะสองเฉดสีนี้คือเฉดสีที่สดใส เหมือนกับที่ทุกคนรอบตัวมองโบว์ว่าเป็นคนที่สดใส อย่างสีชมพูก็ไม่ได้ไปในทางหวานเสียทีเดียว เช่นเดียวกับเฉดสีม่วงที่สามารถหวานซ่อนเปรี้ยวได้เหมือนกัน แต่ถ้ามีสีส้มเธอก็อยากจะเลือกสีส้ม เพราะโบว์นิยามตัวเองให้โว้กฟังว่าเธอเหมือนกับเฉดสีของ ‘Sun Set’ หรือ บรรยากาศในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก เฉดสีที่วาดระบายไปทั่วท้องฟ้าดูสวยงาม และชวนมองไปเสียหมด แต่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักวันเดียว ดูไม่น่าเบื่อดี...

WATCH