LIFESTYLE

VOGUE SCOOP | เขย่าวงการป๊อปคัลเจอร์ด้วยที่สุดปรากฏการณ์ไอคอนิกตลอดปี 2024 ที่ทุกคนล้วนจดจำ

#VogueScoop สัปดาห์นี้ขอพาผู้อ่านทุกคนพบกับความบันเทิงที่สุดแห่งปี ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ผลงานเพลง หรือแม้แต่สิ่งต่างๆ ที่ล้วนสร้างปรากฏการณ์ในแวดวงบันเทิงและป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาเหล่านี้ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา

     เมื่อลมหนาวมาเยือนก็เริ่มรู้แล้วว่าสัญญาณแห่งการสิ้นสุดปีกำลังจะมาถึง โลกและอุตสาหกรรมต่างๆ ยังคงหมุนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีบางอย่างที่คงไว้เช่นเดิม แต่ก็มีหลายสิ่งที่มักเกิดขึ้นใหม่ให้เป็นที่จดจำ รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิงเองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีบางอย่างเกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอและคนทั่วโลกล้วนให้ความสนใจ เพราะชื่อมันก็บอกแต่แรกว่าเป็น ‘ความบันเทิง’ เช่นนั้นแล้วการเสพสิ่งบันเทิงล้วนทำให้ชีวิตได้ผ่อนคลายจากความตึงเครียดที่เจอในชีวิตประจำวัน นักแสดง ศิลปิน เรื่อยไปจนถึงบุคคลเบื้องหลังมากคุณภาพก็สร้างสรรค์ผลงานให้ผู้ชมได้เสพสม รวมถึงเป็นการตัดสินกลายๆ ว่าหากผลงานที่ได้รับความนิยม ผลงานเหล่านั้นจะถูกเชิดชูให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในแต่ละแขนงต่อไป ซึ่งโว้กสกู๊ปสัปดาห์นี้ขอพาผู้อ่านทุกคนพบกับความบันเทิงที่สุดแห่งปี ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ผลงานเพลง หรือแม้แต่สิ่งต่างๆ ที่ล้วนสร้างปรากฏการณ์ในแวดวงบันเทิงและป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาเหล่านี้ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา

 

 

BLACKPINK In Your Area!

     เปิดประเดิมด้วยศิลปินเกิร์ลกรุ๊ประดับโลกอย่าง ‘BLACKPINK’ ที่หลังจากตลอดปี 2023 เรื่องการต่อสัญญากับต้นสังกัด YG Entertainment นั้นยาวนานเป็นมหากาพย์ จนได้ข้อสรุปล่าสุดว่าพวกเธอจะเซ็นสัญญาต่อกับค่ายในนามศิลปินกลุ่มเท่านั้น ส่วนในนามศิลปินเดี่ยวสมาชิกวงแต่ละคนล้วนก้าวเดินตามเส้นทางของตัวเองซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เริ่มต้นที่ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ ที่เธอได้ก่อตั้งค่ายและขึ้นแท่นเป็น CEO ของต้นสังกัด ‘LLOUD’ ทั้งยังเซ็นสัญญาเป็นศิลปินภายใต้สังกัดยักษ์ใหญ่จากฟากฝั่งอเมริกา 'RCA Records’ ผู้เป็นหนึ่งในพาร์ตเนอร์การทำเพลงของลิซ่าอีกด้วย ผลงานเธอถูกกล่าวถึงและได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่เพลง ROCKSTAR, New Woman และ Moonlit Floor จนพาเธอไปสู่เวทีระดับโลก ทั้งการแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวบนเวที VMAs 2024 และ Global Citizen Festival เรื่อยไปจนถึงการแสดงโชว์ครั้งแรกบนรันเวย์นางฟ้าในตำนานอย่าง Victoria’s Secret จนกลายเป็นเทรนด์อันดับหนึ่งบนแอปพลิเคชั่น x ในช่วงข้ามคืน ทั้งนี้เธอยังรับบทบาทนักแสดงในซีรี่ส์ยอดฮิตอย่าง The White Lotus ซีซั่นที่สามอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลิซ่าขึ้นแท่นเป็นศิลปินผู้ทรงอิทธิพลระดับโลกและเป็นศิลปินผู้ประสบความสำเร็จประจำปี 2024 อย่างแท้จริง

     ถัดมากับสมาชิกวงคนที่สองอย่าง ‘เจนนี่ คิม’ ที่ก่อตั้งค่ายเพลง ‘ODD Atelier’ ตั้งแต่ปลายปี 2023 และได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัด Columbia Records ในเวลาต่อมา เธอมีผลงานเพลงคอแลบอเรชั่นให้ติดตามกันอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง SPOT! ที่ร่วมงานกับ Zico ก่อนที่ซิงเกิลเดี่ยว ‘Mantra’ จะปล่อยออกมาให้ได้ฟังกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยเพลงที่ติดหูบ่งบอกถึงตัวตนของเจนนี่ได้เป็นอย่างดี ส่งให้เพลงนี้ทำสถิติยอดวิวสูงถึง 116 ล้าน (ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2024) และกลายเป็นเพลงฮิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้เจนนี่ยังเป็นหนึ่งไลน์อัปสำคัญที่จะขึ้นแสดงโชว์บนเวทีเทศกาล Coachella ประจำปี 2025 ในฐานะศิลปินเดี่ยวเฉกเช่นกับลิซ่าอีกด้วย

     สมาชิกวงคนที่สามกับ ‘โรเซ่’ ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนๆ ทั่วโลกอย่างท่วมท้นที่เธอหันไปซบชายคา The Black Labels และ Atlantic Records พร้อมกับปล่อยผลงานเพลงออกมาจนสร้างไวรัลไปทั่วโลกกับเพลง ‘APT.’ ที่คอแลบอเรชั่นกับศิลปินหนุ่มระดับโลก ‘Bruno Mars’ โดยผลงานเพลงดังกล่าวกวาดสถิติไปอย่างท่วมท้น ทั้งการเปิดตัวในอันดับ 1 ของชาร์ต Billboard Global 200 ด้วยยอดสตรีมสูงถึง 224.5 ล้านครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเพลงช้าสุดหวานซึ้งกับเพลง ‘number one girls’ ที่ได้บรูโน่ มาร์ส มาร่วมโปรดิวซ์เพลง และโรเซ่เป็นผู้กำกับมิวสิกวิดีโอเพลง ก่อนที่วันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาโรเซ่จะปล่อยอัลบั้มเต็มในชื่อ ‘rosie’ ให้แฟนๆ ทั่วโลกได้ฟังกัน

     สมาชิกวงคนสุดท้ายอย่าง ‘คิม จีซู’ ถือเป็นสมาชิกคนเดียวที่ยังไม่มีผลงานเพลงเดี่ยวปล่อยออกมาหลังจากที่หมดสัญญาจากค่าย YG Entertainment ทว่าเธอขึ้นแท่น CEO เปิดค่ายเพลงของตัวเองในนาม ‘BLISSOO’ ต่อจากเจนนี่และลิซ่า ทั้งนี้เธอยังโลดแล่นในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรี่ส์ ที่จีซูจะได้แสดงนำคู่กับพัค จองมิน ในเรื่อง Newtopia ซีรี่ส์แนวโรแมนติกซอมบี้อีกด้วย ทั้งหมดที่กล่าวมาจึงบอกได้ว่าทั้งสี่สาวจากแบล็กพิงก์นั้นครองพื้นที่อุตสาหกรรมต่างๆ ระดับโลกไปแล้วเรียบร้อยในปีนี้

 

 

‘Bruno Mars’ เจ้าพ่อศิลปินคอแลบอเรชั่นแห่งปี

     ปีนี้ถือเป็นปีทองของศิลปินหนุ่มสัญชาติอเมริกันคนนี้เช่นกัน เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเขาได้สร้างสรรค์ผลงานเพลง ‘Die With A Smile’ ร่วมกับศิลปินหญิงผู้มีสไตล์เป็นขบถและเป็นเอกลักษณ์ ‘Lady Gaga’ จนสามารถพาเปิดตัวเพลงฮิตนี้ในอันดับ 3 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ซึ่งเป็นชาร์ตที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะถูกโค่นล้มด้วยเพลงของตัวเองที่เขาได้คอแลบอเรชั่นร่วมกับศิลปินระดับโลกจากเกาหลีใต้ ‘โรเซ่’ ในเพลง APT. ซึ่งเป็นเพลงที่บ่งบอกถึงการละเล่นประจำประเทศเกาหลีใต้ในแวดวงหมู่เพื่อน โดยเพลงนี้ทุบสถิติใหม่ด้วยการเป็นเพลงเปิดตัวยอดวิวบนแพลตฟอร์มยูทูบได้ถึง 18.6 ล้านวิว แซงหน้าเพลงคู่ศิลปินชายและหญิง ‘Fortnight’ ของ Taylor Swift และ Post Malone ที่ทำไว้ได้ 18.5 ล้านวิว รวมถึงยังเป็นเพลงที่ทะลุ 200 ล้านวิวโดยใช้เวลาเพียง 12 วันเท่านั้น ทั้งนี้โรเซ่และบรูโน่ได้สร้างไฮไลต์โมเมนต์บนเวทีประกาศรางวัลอันทรงเกียรติแห่งอุตสาหกรรมเพลงเกาหลีใต้อย่าง MAMA Awards ประจำปี 2024 ด้วยการแสดงเพลงดังกล่าวร่วมกันและทั้งคู่ก็สามารถคว้ารางวัล Global Sensation จากเวทีนี้ไปครองได้สำเร็จจนคลิปวิดีโอนั้นถูกแชร์ออกไปบนโลกโซเชียลอย่างล้นหลามอีกด้วย นี่จึงถือเป็นการประสบความสำเร็จของศิลปินหนุ่มที่ได้มีผลงานเพลงร่วมกันศิลปินหญิงระดับโลกทั้งสองคน จนขึ้นแท่นเป็นบุคคลที่โว้กเลือกให้เป็นเจ้าพ่อของการคอแลบอเรชั่นแห่งปี 2024

 



WATCH




 

การฟื้นตำนานที่มีลมหายใจของศิลปินกลุ่มแห่งวงการเกาหลีใต้

     เป็นอีกโมเมนต์เซอร์ไพรส์แห่งปีในวงการเพลง K-Pop ที่สร้างความตื่นเต้นไปทั่วโลกเมื่อศิลปินระดับตัวแม่อย่าง CL, Park Bom, Sandara และ Minzy หวนคืนสู่เวทีในฐานะศิลปินกลุ่มภายใต้ชื่อ ‘2NE1’ ที่เคยสร้างปรากฏการณ์กระแสนิยมไปทั่วโลกในช่วงต้นของยุค 2000s โดยพวกเธอกลับมาซบชายคาภายใต้สังกัด YG Entertainment ดังเดิม พร้อมจัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนจะประกาศว่าพวกเธอจะมีเวิลด์ทัวร์ตั้งแต่ปลายปี 2024 เรื่อยไปจนถึง 2025 อีกด้วย ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์โมเมนต์จากเวทีประกาศรางวัลแห่งอุตสาหกรรมเพลงเกาหลีใต้อย่าง MMAs ประจำปี 2024 ที่ศิลปินบอยแบนด์ระดับตำนานจากต้นสังกัดเดียวกันอย่าง ‘BIGBANG’ ที่สมาชิกในวงอย่าง G-Dragon, แทยัง และ แดซองมาร่วมโชว์เพลง “BANG BANG BANG” และ เพลง ”Fantastic Baby” ในรอบ 10 ปีจนเรียกเสียงเชียร์จากแฟนเพลงไปได้อย่างล้นหลาม นอกจากนี้ยังมีเกิร์ลกรุ๊ป Baby V.O.X ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกอย่างคิม อีซี, ลี ฮีจิน, คัน มิ-ยุน, ชิม อึนจิน และ ยุน อึนเฮ จะกลับมาร่วมปรากฏตัวขึ้นแสดงในงานปลายปี 2024 KBS Song Festival ในรอบ 14 ปีหลังจากแยกย้ายไปสร้างสรรค์ผลงานเดี่ยวของตัวเอง

 

 

การจากไปของ Liam Payne ทำให้ One Direction กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

     ถือเป็นข่าวช็อกอย่างมากเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเพลง เมื่อศิลปินหนุ่มระดับโลก ‘Liam Payne’ ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 31 ปีหลังจากพลัดตกจากตึกชั้นสามของโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศอาร์เจนตินา ก่อนที่เหล่าคนดังและเพื่อนๆ ของเขาจะร่วมไว้อาลัยผ่านสื่อโซเชียลกันถ้วนหน้า โดยก่อนหน้านี้เลียมได้สร้างชื่อเสียงและแจ้งเกิดการเป็นศิลปินด้วยการเริ่มต้นแข่งขันรายการ The X Factor ประจำปี 2008 ในวัย 16 ปี ก่อนที่เขาจะถูกคัดออกจากการแสดงในตอนแรก และเขากลับมาอีกครั้งในปี 2010 พร้อมได้เดบิวต์เป็นบอยแบนด์ภายใต้ชื่อ ‘One Direction’ กับอดีตเพื่อนร่วมวงอย่าง ‘Harry Styles’ , ‘Louis Tomlinson’ , ‘Niall Horan’ และ ‘Zayn Malik’ จนสร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกด้วยเพลงดังอาทิ ‘What Makes You Beautiful’ , ‘Best Song Ever’ และ ‘Steal My Girl’ เป็นต้น ก่อนที่ปี 2016 พวกเขาจะแยกย้ายไปเติบโตในฐานะศิลปินเดี่ยวโดยเลียมได้มีเพลงฮิตของเขามากมายอาทิ ‘Strip That Down’ , ‘Get Low’ และ ‘Teardrops’ เป็นต้น

     แต่แล้ววันไดเร็กชั่นก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงเดือนหลังจากที่เขาเสียชีวิต โดยขึ้นแท่นเป็นบอยแบนด์ที่พาเพลงขึ้นอันดับสูงสุดในประวัติศาสตร์บน Spotify ซึ่งมียอดสตรีมสูงถึง 57.5 ล้านครั้งในวันเดียว ทั้งยังขึ้นแท่นเป็นศิลปินกลุ่มที่พาเพลงขึ้นอันดับที่ 2 บนชาร์ต Spotify Daily Global Artist เทียบเท่ากับเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK และบอยแบนด์ BTS ที่เคยทำไว้ที่อันดับเดียวกัน ก่อนที่เพลงต่างๆ จะไต่ขึ้นอันดับ Global Top 50 Spotify อย่างเพลง ‘Night Changes’ อยู่ที่อันดับ 6, ‘Story Of My Life’ อันดับที่ 11, ‘What Makes You Beautiful’ อยู่อันดับที่ 29 และ ’Perfect‘ ขึ้นอันดับที่ 33 อีกด้วย และถึงแม้เลียมจะจากไปแล้ว แต่ผลงานเหล่านี้จะตราตรึงใจแฟนๆ ไม่รู้ลืม 

 

 

กระแสความนิยมของภาพยนตร์ ‘Wicked’ เป็นที่พูดถึงตั้งแต่ก่อนเข้าฉาย

     ความครึกครื้นในวงการภาพยนตร์กลับมาอีกครั้งในปี 2024 หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์เรื่อง ‘Wicked’ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากค่าย Universal Pictures ที่สร้างเซอร์ไพรส์ได้ไม่น้อยกับฝีมือการแสดงและเคมีที่เข้ากันของ Ariana Grande และ Cynthia Erivo ที่นอกจากจะนำเสนอมิติอันยอดเยี่ยมด้านการแสดงแล้ว ยังถ่ายทอดเคมีของนักแสดงที่ปรากฏเด่นชัด นั่นทำให้กระแสของภาพยนตร์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและเริ่มมีผลเชิงบวกในการเข้าฉายทั่วโลก หลังจากถลุงรายได้ที่ตลาดในสหรัฐอเมริกามาในระดับท็อปประจำปี ซึ่ง Wicked เปิดตัวได้อย่างสวยงามในช่วงสัปดาห์แรกที่กวาดรายได้ไปมากกว่า 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเข้าฉาย 3,888 โรง ด้วยจำนวนนี้ Wicked จะขึ้นสู่ระดับท็อป 3 เป็นรองเพียง Deadpool & Wolverine และ Inside Out 2 ที่กวาดรายได้ไป 211 และ 154 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ และสามารถจูงใจผู้ชมหญิงได้มากถึง 72 เปอร์เซ็นต์จากข้อมูลการซื้อตั๋วเข้าชม

     หากย้อนเหตุการณ์ไปก่อนหน้านักแสดงนำอย่างอาริอาน่าและซินเธียมักปรากฏตัวคู่กันในงานพิเศษต่างๆ พร้อมแฟชั่นสุดจัดจ้านที่บ่งบอกคาแร็กเตอร์ของแม่มดฝ่ายดีและแม่มดฝ่ายอธรรมได้อย่างชัดเจนจนเสมือนเป็นการโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนี้กลายๆ และถูกทำให้เป็นที่กล่าวถึงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมงานพิธีเปิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปี 2024 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยอาริอาน่าสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนดีเทลเข้ารูปช่วงลำตัวก่อนจะพองออกช่วงกระโปรง พร้อมแมตช์เข้ากับถุงมือและรองเท้าสีเข้าชุดจาก Thom Browne ในขณะที่ซินเธียสวมชุดเดรสสีเขียวมรกตจาก Louis Vuitton อันเป็นสีประจำตัวจากภาพยนตร์ของพวกเธอ แสดงให้เห็นว่าละครเพลงนี้เป็นของขวัญที่ส่งต่อความสุขได้ไม่รู้จบ

     รวมถึงอีกหนึ่งแฟชั่นโมเมนต์ที่ไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ในช่วงการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลในงาน Super Bowl ประจำปี 2024 ที่อาริอาน่าและซินเธียควงคู่กันมาด้วยลุคสนุกสนานโดยการสวมเสื้อเจอร์ซีย์หรือเสื้อฟุตบอลสั่งตัดพิเศษ โดดเด่นด้วยการปักเลื่อมคริสตัลและโทนสีคอนทราสต์เข้ากัน ซึ่งซินเธียสวมเสื้อสีเขียวส่วนอาริอานาสวมเสื้อสีชมพูจากแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส Louis Vuitton ฉายแววความเป็นสปอร์ตแฟชั่นได้อย่างลงตัว ทั้งหมดนี้จึงถือเป็นการนำเสนอภาพยนตร์แห่งปีได้น่าประทับใจและเตรียมรอลุ้นได้เลยว่า Wicked จะขึ้นแท่นประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีและรั้งตำแหน่งอันน่าประทับใจครั้งนี้ไปตลอดหรือไม่

 

 

เมื่อเซเลบริตี้ดังไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสมอไป! ไทยส่ง หมูเด้ง เอวา และหมีเนยสร้างปรากฏการณ์ความนิยมไปทั่วโลก

     แน่นอนว่าจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้กับเซเลบริตี้ชื่อดังที่ไม่ได้หมายถึงผู้คนอีกต่อไป เพราะประเทศไทยในช่วงปี 2024 เป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกจากความน่ารักของเหล่าสรรพสัตว์ หรือแม้แต่มาสคอตจากร้านขนมชื่อดัง ‘Butter Bear’ อย่าง ‘หมีเนย’ ที่เปิดประเดิมความดังเป็นพลุแตกจนมีแฟนคลับไปทั่วโลก ทั้งยังได้เห็นหมีเนยโคฟเวอร์เต้นเพลงต่างๆ อีกด้วย จริงอยู่ที่หลายคนอาจมองว่าหมีเนยเป็นเพียงแค่มาสคอต แต่ความแตกต่างนี้ทำให้หมีเนยได้รับความนิยมจนไม่มีอะไรมาฉุดอยู่ นั่นคือการเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้นด้วยการทำทุกอย่างให้เหมือน ‘คน’ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นโคฟเวอร์เพลงที่เป๊ะทุกท่วงท่า หรือมีกริยาท่าทางเรียบร้อยน่าเอ็นดู เรื่องไปจนถึงแฟชั่นที่หมีเนยจะปรากฏตัวในแต่ละวันโดยโททัลลุคไม่ซ้ำกันสักวัน นี่เองจึงทำให้หมีเนยเป็นที่พูดถึงและส่งให้แบรนด์นั้นเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

     มาถึง ‘หมูเด้ง’ ฮิปโปเด็กจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ที่เปิดเพจและแอคเคาต์อย่างเป็นทางการสำหรับครอบครัวฮิปโปโดยเฉพาะภายใต้ชื่อ ‘ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง’ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ความดังของหมูเด้งนั้นแพร่หลายเป็นทั่วโลกคือบุคลิกของฮิปโปตัวนี้นั้นแตกต่างกว่าทุกตัว เนื่องจากมีความขี้เล่นและซุกซนทั้งการวิ่งและกระโดดเด้งๆ จนเป็นที่มาของชื่อว่าหมูเด้ง โดยคลิปที่ถูกปล่อยออกมาจะเป็นผู้เลี้ยงที่นำเสนอความน่ารักเหล่านี้จนทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างชาติแห่แหนกันมาชมอย่างใกล้ชิด และทำให้สวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น

     ก่อนจะดำเนินมาที่ ‘เอวา’ เสือโคร่งจากสวนสัตว์เชียงใหม่ไนต์ซาฟารีก็เปิดตัวจนเป็นไวรัลกับความน่ารัก ด้วยสายตาที่บ้องแบ๊วแตกต่างจากเสือโคร่งผู้น่าเกรงขามไปโดยสิ้นเชิง ตาแป๋วแหววของเอวาดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เอวายังเป็นเสือโคร่งสีหายากโดยมีจำนวนรวมบนโลกประมาณ 50-100 ตัวเท่านั้น ด้วยความหายากผสมผสานกับความน่ารักทำให้เอวาเป็นจุดสนใจและเข้ามาครองหน้าฟีดโซเชียลรับไม้ต่อจาก หมูเด้ง สรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือแม้แต่หมีเนยก็เช่นกัน ซึ่งทั้งหมีเนย หมูเด้ง และเอวาไม่ใช่คู่แข่งแต่อย่างใด แต่ทั้งสามพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคือหนึ่งในตัวแทนจากประเทศไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ก้าวไกลระดับโลกได้อย่างแท้จริงแม้จะไม่ใช่ตัวบุคคลก็ตาม

 

 

เมื่อวงการภาพยนตร์ไทยก้าวเข้าสู่ยุคใหม่เพื่อตีแผ่ไกลถึงระดับโลก

     ปี 2024 นี้ถือเป็นปีทองของภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างล้นหลาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระแสที่มาในด้านบวก ด้วยการพาตัวละครนำให้เล่าเรื่องในเนื้อหาที่แปลกใหม่และเล่าถึงแก่นแท้ของคาแร็กเตอร์ได้อย่างสุดโต่ง ไม่ใช่เพียงแค่ขายเลิฟซีนหรือความน่ารักในเชิงโลกสวย เรื่อยไปจนถึงเทคโนโลยีที่ใช้นำเสนอก็ยิ่งสมจริงมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่จะวนเวียนแค่เนื้อหาตลกหรือคลายเครียดทั่วไป ทั้งนี้ยังนำเสนอความร่วมสมัยทั้งลักษณะการใช้คำพูด การแต่งกาย การเลือกสถานที่ถ่ายทำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีของภาพยนตร์ไทยที่ผู้ชมอาจชอบและส่งไปให้ถึงเวทีโลกได้ อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง ‘หลานม่า’ ที่เข้าฉายในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นำแสดงโดยศิลปินมากความสามารถ 'บิวกิ้น-พุฒิพงศ์' ที่นอกจากจะขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านแล้ว ยังสร้างความสำเร็จอีกขั้นที่สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติได้เลือกภาพยนตร์นี้เป็นตัวแทนประเทศไทย เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้ง 97 ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม และเป็นภาพยนตร์ 1 ใน 15 เรื่องที่เข้ารอบชิงรางวัลออสการ์สาขานี้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก โดยหลานม่าหยิบยกเอาเรื่องราวครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนมาถ่ายทอดปมชีวิตของตัวละครที่มีการลำดับความสำคัญของลูกหลาน หรือแม้แต่การให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม

     นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์จากค่ายเดียวกัน GDH อย่าง ‘วิมานหนาม’ ที่นำเสนอประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้นจริง อย่างความเท่าเทียมระหว่างการสมรสในหมู่ LGBTQ+ เรื่อยไปจนถึงการวางลำดับชนชั้นที่วิมานหนามนำเสนอด้วยสัญญะบางอย่างที่แยบยลและสะท้อนให้เห็นว่ายังมีความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ภาพยนตร์สองเรื่องนี้จึงเป็นดั่งกระบอกเสียงที่จะตีแผ่ให้ทั่วโลกรู้ว่าปัญหาบางปัญหาหากได้รับการแก้ไขจะเป็นผลดีต่อบุคคลรุ่นสู่รุ่นต่อไป

 

 

Espresso สร้างปีทองให้แก่ ‘Sabrina Carpenter’

     หากไม่กล่าวถึงศิลปินหญิงแห่งยุคคนนี้ก็คงจะไม่ได้ เมื่อ ‘Sabrina Carpenter’ ขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ประสบความสำเร็จในด้านของอุตสาหกรรมเพลงแห่งปี 2024 ซึ่งหลักๆ แล้วหลายคนคงคุ้นหูกับเพลง ‘Espresso’ ที่มีจังหวะโยกสนุกสนานฟังแล้วติดหู ทั้งนี้ยังมีเพลง ‘Please Please Please’ ที่ส่งให้เธอมีชื่อเข้าชิงรางวัลจากเวที MTV Video Music Awards ประจำปี 2024 ถึง 6 สาขา และหนึ่งในรางวัลที่เธอคว้าได้คือรางวัลสาขา Song of the Year จากเพลง ‘Espresso’ ซึ่งเหล่าแฟนๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเหมาะสมกับรางวัลนี้มากที่สุด จนเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเพลงแจ้งเกิดของเธอหลังจากที่เธอสร้างตัวตนไปแล้วเมื่อปี 2022 ในเพลง Nonsense

     ไม่เพียงเท่านั้นซาบริน่ายังพาเพลง Espresso สร้างปรากฏการณ์แห่งปีอีกครั้งด้วยการมียอดสตรีมมิ่งมากที่สุดทั่วโลกในปีนี้โดยมียอดสตรีมมากกว่า 1.6 พันล้าน ก่อนจะปิดท้ายปีอย่างสวยงามกับการประสบความสำเร็จของเธอที่ได้เปิดตัวรายการคริสต์มาสสุดพิเศษเป็นครั้งแรกในชื่อ ‘A Nonsense Christmas’ ที่ออกฉายทางสตรีมมิ่งออนไลน์ Netflix โดยโปรเจกต์นี้จะมีทั้งการแสดงตลก การแสดงดนตรี และการแสดงเป็นแขกรับเชิญจาก Chappell Roan, Tyla, Shania Twain และอื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025 ซาบริน่าจะไม่หยุดความยิ่งใหญ่ของเธอไว้เท่านี้แน่นอน

 

 

อัลบั้ม Brat จาก Charli XCX ส่งอิทธิพลต่อแฟชั่นเขียวนีออนแห่งปี

     ขอปิดท้ายไปกับการสั่นสะเทือนจากโลกตะวันตกเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา เมื่อศิลปินสาวสัญชาติอังกฤษปล่อยอัลบั้มในชื่อ ‘Brat’ ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกัน พร้อมสร้างปรากฏการณ์ให้แนวทางความจัดจ้าน สันทนาการสุดขีด และมีนิยามการแต่งกายรวมถึงรูปแบบวัฒนธรรมที่แม้จะมีรากศัพท์จากคำว่า “เหลือขอ” แต่มันก็สะท้อนภาพความดื้อดึงและก๋ากั๋นในการตีความรูปแบบใหม่ โดยอัลบั้มนี้ได้รับอิทธิพลจากวงการเพลงเร้าใจของอังกฤษในยุค 2000 ที่มีดนตรีและเนื้อหาดุดันมากขึ้นกว่าที่ผ่าน ทว่าสิ่งที่สะดุดผู้คนทั่วโลกเห็นจะหนีไม่พ้นการใช้สีเขียวนีออนหรือที่เรียกกันว่า ‘Ugly Green’ มาดีไซน์เป็นปกอัลบั้มพร้อมกับมีตัวหนังสือฟอนต์มินิมัล Brat พาดไว้ด้านหน้าตัวปก ทำให้อิทธิพลของสีนี้แพร่หลายไปทั่วฟีดโซเชียลมีเดีย และแฟนเพลงของเธอล้วนแล้วแต่ใช้สีเขียวนีออนนี้ไปตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ ก่อนที่จะเกิดเป็นแฟชั่นเขียวนีออนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ยังไม่เพียงเท่านั้นคำว่า Brat ยังถูกยกให้เป็นคำยอดนิยมแห่งปีจาก Collins Dictionary ซึ่งความหมายอีกนัยหนึ่งที่ชาร์ลีเคยให้ไว้คือเธอหมายถึงการเป็นหญิงสาวผู้มีความขบถขัดกับบรรทัดฐานสังคม ทั้งยังจัดจ้านในด้านของตัวตนและสไตล์นั่นเอง

 

กราฟิก : จินาภา ฟองกษีร

WATCH

TAGS : VogueScoop