หากให้ใครสักคนไล่เรียงลิสต์ของซีรี่ส์ หรือภาพยนตร์ที่อยากจะแนะนำให้ผู้หญิงทั้งโลกได้ดูสักครั้งในชีวิตแล้วนั้น ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า Sex and the City จะต้องอยู่ในลิสต์รายชื่อที่ยาวเป็นหางว่าวอย่างแน่นอน กับซีรี่ส์ที่ออกฉายครั้งแรกในปี 1998 ที่หยิบยกเอา 3 ประเด็นหลักสำคัญอย่าง เซ็กส์, ความสัมพันธ์ และชีวิตในมหานครนิวยอร์กอันกว้างใหญ่ มาพูดถึงได้อย่างโมเดิร์น กล้าหาญ และเปิดเผยที่สุดเท่าที่ซีรี่ส์สักเรื่องหนึ่งในยุค 1990s - 2000s จะเป็นได้ กอปรกับความโดดเด่นของหลายองค์ประกอบที่สร้างให้ Sex and the City ถูกขนานนามว่าเป็นโชว์โทรทัศน์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผู้หญิงควรได้ดูสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางคาแร็กเตอร์ของแก็งเพื่อ 4 สาวอย่าง Carrie Bradshaw หญิงสาวคาแร็กเตอร์มั่นใจและมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่สนใจเรื่องราวของความสัมพันธ์ และกำลังวิ่งตามหามันทั่วมหานครนิวยอร์ก บนรองเท้าส้นสูง Manolo Blanik คู่ใจของเธอ หรือจะเป็น Miranda Hobbes ตัวแทนของหญิงสาวเวิร์กกิ้งวูแมน ตามมาด้วย Charlotte York ตัวละครหญิงสาวที่เชื่อในเรื่องของพรหมลิขิต และ Samantha Jones ตัวละครหญิงสาวตัวแทนของผู้หญิงนอกขนบที่กล้าเปิดเผยเรื่องเซ็กส์อย่างโจ่งแจ้งบนโต๊ะอาหาร ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องก๋ากั่นอย่างมากในยุคนั้น จนไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าคาแร็กเตอร์ของ 4 ตัวละครสาวที่กลมกล่อมนั้นคือหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของจักรวาล Sex and the City
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละคร Carrie Bradshaw หนึ่งในตัวละครที่ไม่เพียงสร้างฝันให้กับคนทั่วโลกให้อยากเป็นและอยากมีชีวิตโลดแล่นเหมือนเธอ แต่เธอยังสร้างแรงบันดาลใจในหลากหลายด้าน ทั้งการใช้ชีวิตอย่างอิสระ การเขียน การคิด เรื่อยไปจนถึงแฟชั่นบนตัวของเธอ ในสไตล์ Mix & Match ที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ขนาดที่สื่อแฟชั่นทั่วโลกยังต้องจับตามอง โดยเฉพาะสื่อแฟชั่นหัวใหญ่อย่าง VOGUE ที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ส์เรื่องนี้ สิ่งนั้นเองที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า Carrie Bradshaw ไม่ใช่แค่ตัวละครที่โด่งดังในโลกโทรทัศน์เท่านั้น แต่เธอยังสามารถถูกยอมรับให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป็อปอีกด้วย ตั้งแต่กระโปรง Tutu ในฉากเปิด, แล็ปท็อปของ Apple, การสวมใส่รองเท้าส้นสูง, อาชีพคอลัมนิสต์ ไปจนถึงอพาร์ตเมนต์สุดไอคอนิกของตัวละครนี้ ที่ล้วนแล้วแต่ถูกส่งต่อมาในชีวิตจริงในช่วงปี 2006 เป็นต้นมา
แม้ว่าจักรวาล Sex and the City จะไม่เคยออกมาปกป้องตัวเองว่าเป็น Feminist หรือไม่ตามคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั่วไปว่ายังมีหลายประเด็นที่เข้าข่ายเหยียดเพศ สีผิว และเชื้อชาติ หรือไม่เคยออกมาเผยตัวตนเป็นตัวแทนเคลื่อนไหวเพื่อสตรีนิยมอย่างตรงไปตรงมา แต่จักรวาลซีรี่ส์นี้กลับให้สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าสำคัญที่สุดที่นักสตรีนิยมปฏิเสธพวกเธอไม่ได้ นั่นคือการให้ตัวอย่างของกลุ่มผู้หญิงให้ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าพวกเธอเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองแล้วนั่นคือจุดสูงสุดของการเคลื่อไหวด้านสตรีนิยมและปลดแอกอิสรภาพอย่างแท้จริง
ผ่านเวลามานานกว่า 2 ทศวรรษ จากซีรี่ส์ Sex and the City ที่มีทั้งหมดถึง 6 ซีซั่น สู่ภาพยนตร์ภาคต่อ 2 ภาค และตามมาด้วยซีรี่ส์ภาคต่อ And Just Like That ในปี 2021 ซึ่งล่าสุดดำเนินมายาวนานถึง 3 ซีซั่น ซึ่งเป็นที่ยืนยันแล้วว่าซีซั่นล่าสุดจะเป็นซีซ่นสุดท้ายของซีรี่ส์ And Just Like That... และจักรวาล Sex and the City
1 / 2
กระนั้น ในอีกมุมมองหนึ่งของผู้เขียน ที่อาจจะเป็นข้อดีได้บ้างจากซีรี่ส์ And Just Like That... นั้นก็คือ ซีรี่ว์ภาคต่อเรื่องนี้ทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับ Sex and the City อย่างสิ้นเชิง คือไร้ซึ่งการนำเสนอภาพแห่งความฝัน แต่ดึงให้เหล่าสาวกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่คาดเดาไม่ได้ ความเป็นจริงที่ว่า อีก 20 ปีข้างหน้าเราอาจกลายเป็นเลสเบี้ยน, คนรักอาจตายจาก, อาจต้องเลิกคบกับเพื่อนสนิท, ชีวิตคู่ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง หรืออาจกลายเป็นแค่คนแก่ในมหานครที่กว้างใหญ่ นั่นแหละชีวิตจริงของพวกเรา คาดเดาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว และอาจเปลี่ยนไปจากตัวตนเดิมสิ้นเชิง
จะเป็นอย่างไรเมื่อ Charlotte แห่ง Sex and the City ถูกบรรยายเป็นคอลเล็กชั่นแฟชั่น
ส่องแหวนมุกของ Carrie Bradshaw จากแบรนด์ไทย Pacharee ในซีรี่ส์ And Just Like That
