จาก 'ทนายอู' สู่ 'Midnight' ผลงานเกาหลีที่ทำให้คนเข้าใจผู้มีอาการออทิสติกและหูหนวกมากขึ้น
ความแตกต่างของผู้คนทำให้โลกนี้เกิดการแบ่งแยก ทว่าซีรี่ส์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้ชีวิตของพวกเขาต้องเผชิญอุปสรรคอันยากลำบากแต่ก็สามารถใช้ชีวิตในสังคมร่วมกันทุกคนได้
หนึ่งในความยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์คือการถ่ายทอดเรื่องราวในแต่ละประเด็นให้ออกมาดูมีมิติน่าสนใจ ภาพยนตร์จึงเปรียบดั่งสื่อกลางที่คอยสื่อสารทั้งเรื่องจริง เรื่องอ้างอิงจากความจริง ประเด็นทางสังคม การสะท้อนจินตนาการ และอีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันมีการสอดแทรกรายละเอียดหลายต่อหลายอย่างเพื่อให้ผู้ชมสัมผัสตัวละครและเส้นเรื่องได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ซีรี่ส์เองก็ถ่ายทอดในลักษณะเดียวกัน และมีข้อได้เปรียบคือระยะเวลาที่ยาวนานพอจะสร้างความสัมพันธ์กับผู้ชมแบบลงลึกมากขึ้น ผลผลิตจากอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีในปีนี้มีภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจบริบทของกลุ่มสังคมที่อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด แต่เราทุกคนเป็นมนุษย์ที่กำลังทำความเข้าใจผ่านภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่มีวิธีการเล่าอันตราตรึง
ช่วงปี 2022 ซีรี่ส์เกาหลีที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งคือ “Extraordinary Attorney Woo” หรือ “อูยองอู ทนายอัจฉริยะ” ที่ทุกคนคุ้นหู ตลอดระยะเวลาฉายความยาว 16 ตอนทำให้เราเข้าใจวิธีคิด มุมมอง บริบททางสังคม และสิ่งรอบตัวของผู้มีอาการออทิสติกมากยิ่งขึ้น ซีรี่ส์ใช้วิธีการเล่าผ่านประสบการณ์การเป็นทนาย สอดแทรกแง่คิดมากมายทั้งเรื่องคดี ระบบสังคม เรื่อยไปจนถึงชีวิตส่วนตัวของคนออทิสติก อูยองอูกลายเป็นตัวละครที่คนทั่วโลกหลงรัก ด้วยมนต์เสน่ห์ที่อาจจะไม่ได้ดูคุ้นชินสำหรับทุกคน แต่เมื่อผสมผสานกับเนื้อเรื่อง รูปแบบการนำเสนอ และที่สำคัญที่สุดคือการเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ยิ่งทำให้ทุกคนอยากทำความเข้าใจและเปิดมุมมองต่ออาการออทิสติกมากขึ้น
ซีรี่ส์เรื่องนี้ไม่พลาดที่จะนำเสนอความหลากหลายของอาการออทิสติกด้วย เชื่อว่าใครหลายคนอาจไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วอาการออทิสติกมีหลายแบบและหลายระดับ พฤติกรรมที่แสดงออกมาไม่ใช่แพตเทิร์นเดียวกันเสียทั้งหมด พวกเขามีชุดความคิดเป็นของตัวเอง มีการแสดงออกที่แตกต่าง และแน่นอนว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับทุกคน ซีรี่ส์เรื่องนี้นำเสนอความหลากหลาย ไม่เพียงแต่เรื่องของตัวบุคคล แต่ยังรวมถึงสภาพแวดล้อมที่ประกอบด้วยเรื่องฐานะ ความเข้าใจของครอบครัว รวมถึงวิธีการที่สังคมมองพวกเขาหรือพยายามปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาด้วย เชื่อว่าหลังชมซีรี่ส์เรื่องนี้จบทุกคนจะมีมุมมองที่เปิดกว้างเกี่ยวกับอาการออทิสติกโดยอัตโนมัติ มากไปกว่านั้นยังสร้างพื้นที่ให้เห็นว่าชีวิตของคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้น่าสงสาร พวกเขาล้วนมีความโดดเด่นและสามารถใช้ชีวิตในโลกปกติเหมือนคนทั่วไป เราไม่จำเป็นต้องทำท่าทีสงสาร มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เพียงแค่ต้องเปิดประตูหัวใจและเชื่อมั่นว่าพวกเขาอยู่ในสังคมได้เฉกเช่นมนุษย์ทุกคน
WATCH
อีกหนึ่งผลงานด้านบันเทิงที่เลือกวิธีการเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่มีความแตกต่างด้านร่างกายคือเรื่อง Midnight ภาพยนตร์เรื่องนี้วางพลอตเป็นฆาตกรโรคจิตพยายามก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าปีศาจร้ายคนนี้ต้องมาเผชิญหน้ากับคู่แม่ลูกหูหนวก พวกเธอต้องคิดค้นหาวิธีเอาตัวรอดทั้งๆ ที่มีข้อบกพร่องทางการได้ยิน เราจะเห็นวิธีการสื่อสารโดยใช้ภาษามือ การอ่านปาก เรื่อยไปจนถึงการเขียนโน้ตทั้งบนกระดาษและอุปกรณ์ต่างๆ การหลีกหนีจากความอันตรายโดยมีข้อเสียเปรียบเหล่านี้ยิ่งบีบคั้นอารมณ์คนดู ในขณะเดียวกันก็ชวนตระหนักให้เห็นถึงความชาญฉลาดในการสื่อสารและความพยายามในการทำความเข้าใจของคนกลุ่มนี้ คู่แม่ลูก(และผู้มีข้อบกพร่องด้านการพูดและการได้ยิน)ล้วนหาวิธีสื่อสาร พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างไม่แปลกแยก
วิธีการเล่าของภาพยนตร์ระทึกขวัญอย่างเรื่องนี้น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะมีการดูดเสียงออกเพื่อให้ผู้ชมสัมผัสกับเงื่อนไขข้อบกพร่องตรงนี้อย่างชัดเจนที่สุด เราแทบจินตนาการกันไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ได้ยินหรือพูดไม่ได้จะใช้ชีวิตให้เป็นปกติอย่างไร ยิ่งช่วงเวลาคับขันผู้ชมจะรู้สึกว่ามันยากเสียเหลือเกินที่จะสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ แม้ภาพยนตร์จะดูอึดอัดไปสักนิด แต่นี่คือเป้าหมายที่ทำให้ความอึดอัดเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจของคนกลุ่มนี้ให้ทุกคนที่รับชมสัมผัสมันอย่างแท้จริง
เรื่องราวของทั้ง 2 เรื่องสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมการใช้ชีวิตที่แม้จะมีข้อจำกัดมากกว่าคนอื่น แต่สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้มีเยอะมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาบางอย่างเห็นชัดอยู่ตรงหน้า เช่นประตูหมุนกับทนายอูหรือจะเป็นการระวังรถสัญจรด้วยความเร็วของรถยนต์ของคู่แม่ลูก แต่สิ่งที่ทำให้เห็นว่าชีวิตพวกเขาและเธอสะดวกสบายขึ้นคือเครื่องมือช่วยเหลือ โดยเฉพาะในเรื่อง “Midnight” ที่เราเห็นแม่ลูกใช้เครื่องมือตรวจระดับเสียงในรถยนต์ หลอดไฟตรวจจับเสียง การใช้เทคโนโลยีวิดีโอคอลเพื่อทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย ทางฝั่งทนายอูเองก็มีการใช้หูฟังเพื่อกรองการรับเสียง เรียกว่าสังคมสมัยใหม่ในเมืองที่เจริญก้าวหน้าให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่มมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกหนึ่งจุดที่พูดถึงเรื่องสังคมแล้วต้องยกให้วิธีการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านอาชีพ แน่นอนว่าคนที่มีความบกพร่องย่อมถูกมองข้ามไปในประเด็นความสามารถ แต่ภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่กล่าวไปแสดงให้เห็นว่าพวกเธอสามารถทำได้ และทำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งอาชีพรับสายวิดีโอคอลกับลูกค้าในแบบฉบับคอลเซ็นเตอร์ยังชี้ให้เห็นว่าการสื่อสารโดยภาษามือจำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย พวกเขาไม่สามารถโทรศัพท์มาแจ้งปัญหาได้ เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่สังคมเปิดโอกาสให้คนบกพร่องทางการพูดหรือการได้ยินทำงานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ในกลุ่มสังคมได้รับสิทธิ์ที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น การเป็นทนายของอูยองอูก็เป็นดั่งเทพีผู้เข้าอกเข้าใจในโลกต่างมุมมอง หลายครั้งคนทั่วไปใช้มองเหตุการณ์ผ่านแว่นตาที่พวกเขาคุ้นเคย ทว่าในอีกมุมหนึ่งทนายอูกลับมองในรูปแบบที่ต่างกันไป พร้อมทั้งเข้าอกเข้าใจคนหลายประเภทมากขึ้นด้วย ผลงานจากวงการบันเทิงเกาหลีทั้ง 2 เรื่องจึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโลกเรามีคนมากมายหลากหลาย ข้อจำกัดของมนุษย์เองก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องสรรหาเส้นแบ่งความแตกต่าง เพียงแค่เรามองทุกคนเป็นมนุษย์โอบอุ้มค้ำชูกัน ความเท่าเทียมก็จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องพยายาม
WATCH