Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

การเฉลิมฉลองยังคงดำเนินต่อเมื่อ Breguet ฉลอง 250 ปีกับเรือนเวลาที่มีรากฐานจากศตวรรษที่ 18

นาฬิกาเกินกว่าหลัก 2 ศตวรรษ ถูกนำมาเป็นต้นแบบในการรังสรรค์เรือนเวลาที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยและยังคงคลาสสิกในเวลาเดียวกัน

โดย Nattanam Waiyahong
31 ตุลาคม 2568

     ย้อนกลับไป 250 ปีก่อน Breguet ถือกำเนิดขึ้นโดย Abraham-Louis Breguet หลังจากนั้นในปี 1794 นาฬิกาพกแห่งสุดยอดนวัตกรรมก็ถือกำเนิดขึ้นกับ ‘No.5’ ซึ่งเป็นนาฬิการะดับตำนานที่เมซงขายให้กับ François Jourgnac Saint-Méard ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของเมซงกำลังจะถูกเล่าใหม่อีกครั้งในการเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปี โดยเบรเกต์หยิบยกเรื่องราวของนาฬิกาพกสุดคลาสสิกมาเนรมิตใหม่เป็นนาฬิกาข้อมือ Classique 7235 ที่อ้างอิงจากนาฬิการุ่นต้นแบบ ซึ่งเรือนจริงถูกจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ของเมซง บริวเณ Place Vendôme

     เรื่องกลไกของเบรเกต์คือสุดยอดแห่งนวัตกรรมนาฬิกา ในขณะเดียวกันมิติความงดงามก็เป็นสิ่งที่ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘Breguet Hands’ เข็มนาฬิกาไอคอนิกที่ถูกใช้จนกลายเป็นสากล และแน่นอนว่านาฬิกา Classique 7235 ก็หยิบยกองค์ประกอบนี้มาเป็นแกนหลักสำคัญด้วยเช่นกัน การค้นหาอัตลักษณ์เชิงศิลป์ของเบรเกต์กลายเป็นต้นแบบที่ทำให้การพัฒนาเรือนเวลาเป็นมากกว่าเรื่องนวัตกรรม แต่หมายถึงการสร้างภาษาในการสื่อสารเรื่องนาฬิกาแบบใหม่ในสมัยนั้น ทั้งยังทำให้นาฬิกาผูกโยงกับเรื่องของสไตล์ ศิลปะ และการคิดค้นวิธีการสร้างความสวยงามในแบบที่คนในอดีตถวิลหาแบบไม่รู้ตัว

     การจัดวางเลย์เอาต์ของนาฬิกา Classique 7235 อ้างอิงตามนาฬิกาต้นแบบ เข็มแบบ ‘Breguet Hands’ ทำหน้าที่บอกเวลาหลักชั่วโมงและนาทีเป็นรากฐาน เพิ่มเติมด้วยหน้าปัดระบุเวลาการสำรองพลังงานบริเวณระหว่างตำแหน่ง 10 และ 11 นาฬิกา หน้าปัดมูนเฟสบริเวณตำแหน่ง 2 นาฬิกา และหน้าปัดย่อยแสดงหลักวินาทีบริเวณตำแหน่ง 5 นาฬิกา ปิดท้ายด้วยสัญลักษณ์ของแบรนด์บริเวณตำแหน่งกลางเยื้องซ้าย ทั้งหมดเสริมความสมดุลให้กันและกัน ซึ่งเป็นรูปแบบการรังสรรค์หน้าปัดโฉมใหม่ในยุคสมัยมากกว่า 2 ศตวรรษก่อน

     แม้จะรังสรรค์ตามต้นฉบับแทบจะทุกองค์ประกอบ แต่กลไกเบื้องหลังเมซงตอกย้ำคาแร็กเตอร์ของนักพัฒนาด้วยกลไกใหม่ล่าสุด 502.3 DRL ที่เสริมด้วยซิลิคอนบาลานซ์สปริง ซึ่งไม่เพียงแต่มอบศักยภาพความแม่นยำเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการย้อนความทรงจำนาฬิกา ‘No. 5’ ที่นำเสนอความล้ำสมัยด้วยกลไกแบบอัตโนมัติเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ด้วยการพัฒนาโฉมใหม่ทำให้ตัวเรือนมีความหนาเพียง 9.9 มิลลิเมตร ถึงแม้จะมีหน้าปัดย่อยและกลไกหลากหลายรูปแบบก็ตาม มากไปกว่านั้นยังรักษาเกณฑ์ขนาดหน้าปัดให้ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร ที่ตัวเลข 39 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นขนาดพอเหมาะพอดีสำหรับทุกคน และยังหมายถึงการสะท้อนภาพความยอดเยี่ยมเชิงนวัตกรรมอันโดดเด่นของเมซง

     รายละเอียดเพิ่มเติมที่ทำให้ Classique 7235 ทวีความพิเศษขั้นกว่าอีกระดับคือเรื่องฟินิชชิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานกีโยเช่ลวดลายโมทีฟ “Quai de l’Horloge” ที่ทำจากวัสดุ ‘Breguet Gold’ ซึ่งรวมถึงการใช้วัสดุเดียวกันสำหรับมูนเฟส และหมายถึงการใช้วัสดุเดียวกับนาฬิกาอายุกว่า 231 ปีด้วย บนหน้าปัดยังมีการใช้มิติของ ‘Slope’ ไล่ระดับความโค้งเว้า รวมถึงวงแหวนที่มีลักษณะพิเศษอีกด้วย ส่งผลถึงรายละเอียดของเบเซลที่บางและต่ำกว่านาฬิกาปกติทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่รอบตัวเรือนใช้โมทีฟเดียวกับหน้าปัดตามลวดลายดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ พร้อมเผยความสวยงามของกลไกที่ถูกแกะสลักอย่างเนี้ยบประณีตผ่านแซปไฟร์คริสตัลด้านหลัง ความพิเศษทั้งหมดนี้จะถูกผลิตและจำหน่ายเพียง 250 เรือนทั่วโลกตัวเลขตามจำนวนขวบปีของเมซงในปี 2025

     ถึงจะสร้างความประทับใจจากนาฬิกาอายุเก่าแก่กว่า 231 ปี เบรเกต์ยังหยิบยกความงดงามจากนาฬิกาพกอีกเรือนที่มีลักษณะคล้ายคลึงราวกับพี่น้องของ ‘No.5’ และยังมีรายละเอียดของนวัตกรรมด้านกลไกที่เคยเป็นสุดยอดแห่งนวัตกรรมในยุคก่อน นำมาสู่เรือนการรังสรรค์เรือนเวลา Classique 7225 ในปี 2025 โดยมุ่งเน้นเรื่องความยอดเยี่ยมของการผลิตนาฬิกาแบบเข้มข้น ชวนให้นึกถึงวิถีการทดลองจังหวะการหมุน ความถี่ และอีกหลากหลายแง่มุมเมื่อครั้งอดีต ถึงกระนั้นด้วยเทคโนโลยีต่างๆ สมัยก่อนยังไม่สามารถทำให้เบรเกต์ผลิตนาฬิกาความถี่สูงได้สำเร็จจนกระทั่งปี 2008 ดังนั้นการหยิบยกเรือนเวลาเก่ามาสรรสร้างในรูปแบบของนาฬิกาความถี่สูงระดับ 10 Hz เชื่อมโยงถึงความแม่นยำและศักยภาพในการสร้างสมดุลและแนวทางการรักษาสภาพของกลไก นาฬิกาเรือนนี้จึงถือเป็นสุดยอดแห่งนวัตกรรมที่ชวนย้อนกลับไปรำลึกถึงวิสัยทัศน์ของเมซงในยุคเริ่มแรกอย่างสมบูรณ์ที่สุด

     ความพิเศษของ Classique 7225 คือมิติความแม่นยำที่ดำเนินการผ่านความถี่และการปรับระดับความแม่นยำด้วยแม่เหล็ก นวัตกรรมล้ำสมัยนี้เติมเต็มวิสัยทัศน์ต้นแบบเมื่อกว่า 2 ศตวรรษก่อน และถือเป็นสิทธิบัตรทางปัญญาของเมซงที่สำคัญอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้เปรียบดั่งชิ้นงานยุคโมเดิร์นที่สดใหม่ แต่การเฉลิมฉลอง 250 ปีของเมซง กำลังเชื่อมประสานโลกยุคเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน เพราะตัวเรือน Classique 7225 อ้างอิงตามดีไซน์จากปี 1802 จนถึง 1809 กับเรือนเวลา ‘No.1176’ โดยนาฬิกาเรือนนี้มีประวัติความยิ่งใหญ่ของผู้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 3 และเจ้าชายแห่งอาณาจักรออตโตมัน ณ ตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของเบรเกต์เป็นที่เรียบร้อย

     รายละเอียดภายในของ Classique 7225 ก็สุดยอดไม่แพ้กัน เพราะชิ้นส่วนอย่าง ‘escape-wheel’ และ ‘pinion’ ถูกออกแบบมาในรูปแบบของตัวเลข ‘1775’ และ ‘2025’ เคลื่อนไหวเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน สร้างเอฟเฟกต์ ‘morphing’ และยังมีกลไกที่น่าสนใจอื่นๆ ทั้งศักยภาพการสำรองพลังงานมากถึง 60 ชั่วโมง จากเดิมคือ 35 ชั่วโมง (แสดงบนหน้าปัดย่อย ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา) มาพร้อมหน้าปัดย่อย 2 หน้าปัด ณ ตำแหน่ง 2 และ 10 นาฬิกา ซึ่งใช้ในการบอกเวลาปกติและสำหรับการสังเกตการณ์เมื่อใช้ฟังก์ชั่น ‘flyback’ ตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกต้นแบบที่เบรเกต์คิดค้นมาตั้งแต่ปี 1820

     อย่างที่กล่าวไปว่าศาสตร์แห่งศิลป์ถ่ายทอดผ่านตัวเรือนและหน้าปัดยุคเก่า ทว่าด้านในอัดแน่นด้วยนวัตกรรมแห่งโลกยุคใหม่โดยสมบูรณ์ ระดับความแม่นยำจากมาตรฐานความถี่และการรักษาความมั่นคงด้วยแม่เหล็กทำให้ Classique 7225 มีอัตราความคลาดเคลื่อนเพียง 1 วินาทีต่อวันเท่านั้น มากไปกว่านั้นกลไกด้านในที่เยี่ยมยอดก็สอดประสานเข้ากับมิติเชิงศิลป์อีกครั้งด้วยรายละเอียดการสลักงานฝีมือเป็นลวดลายต่างๆ ด้วยมือทั้งสิ้น ตัวเรือนเองก็โดดเด่นด้วยเทคนิคกีโยเช่โมทีฟ “Quai de l’Horloge” เช่นเดียวกับหน้าปัดที่ทั้งหมดทำจากวัสดุ ‘Breguet Gold’ รวมถึงโมทีฟแบบ “Flinqué” บนหน้าปัดส่วนต่างๆ ครบทั้ง 4 หน้าปัด ที่ขาดไม่ได้คือเข็มนาฬิกา ‘Breguet Hands’ อันเป็นเอกลักษณ์ นับเป็นอีกหนึ่งสุดยอดเรือนเวลาที่ชุบชีวิตนาฬิกาเก่าแก่หลักเกินกว่า 2 ศตวรรษให้มีชีวิตชีวาและเสริมสร้างนวัตกรรมนำสมัยเข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด


(สามารถอ่านเร่ื่องราวเพิ่มเติมเรื่องเมซงเบรเกต์ได้กับบทความ Breguet เฉลิมฉลอง 250 ปีอย่างต่อเนื่องด้วยการเผยเรือนเวลาสุดคลาสสิกต่อกัน 3 เรือน)

ภาพ : Courtesy of Breguet