LIFESTYLE
สำรวจ 5 โรงแรมหรูจากภาพยนตร์เรื่องดัง ที่ทุกคนสามารถกดจองห้องพักเดินทางไปตามรอยกันได้แม้ภาพยนตร์ต้นเรื่องจะผ่านกาลเวลาไปอย่างยาวนาน แต่โรงแรมเหล่านี้ก็ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางแก่เหล่านักเดินทางที่อยากมาตามรอย |
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘โรงแรม’ นั้นเต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ และมิติที่น่าสนใจ เป็นสถานที่ที่มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกล้วนต่างวัฒนธรรมและต่างภาษามารวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้กำกับและนักเขียนบทจำนวนมากจะเลือกใช้โรงแรมเป็นฉากหลังสำคัญในเรื่องราวที่พวกเขาต้องการจะเล่า ยิ่งไปกว่านั้นหากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวประสบความสำเร็จ โรงแรมในเรื่องกลายเป็นสถานที่ที่ผู้ชมไปเยือนก็สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้ในแง่การท่องเที่ยวได้อีกด้วย ดั่งเช่นทั้ง 5 โรงแรมที่หยิบยกมากล่าวถึงในบทความนี้ที่ถึงแม้ภาพยนตร์ต้นเรื่องจะผ่านกาลเวลาไปอย่างยาวนาน แต่โรงแรมเหล่านี้ก็ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางแก่เหล่านักเดินทางที่อยากมาตามรอย และที่สำคัญสามารถจองห้องพักได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วคลิก
โรงแรม Park Hyatt Tokyo จากภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation / ภาพ: Tohology
1. โรงแรม Park Hyatt Tokyo
โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ความสูง 52 ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางย่านชินจูกุ มหานครโตเกียวแห่งนี้ นอกจากจะเป็นหนึ่งในผลงานการออกแบบชิ้นเอกของ Kenzō Tange สถาปนิกระดับบรมครูของประเทศญี่ปุ่นแล้ว Park Hyatt Tokyo ยังถูกใช้เป็นฉากหลังสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation ผลงานการกำกับของ Sofia Coppola นำแสดงโดย Bill Murray และ Scarlett Johansson ซึ่งเหล่านักวิจารณ์ทั่วโลกต่างชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่า Lost in Translation คือภาพยนตร์ที่เลือกใช้โรงแรมเป็นฉากหลังได้อย่างยอดเยี่ยมลงตัวที่สุด และต้องชื่นชมโซเฟียกับวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของเธอ “อยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องไม่เหงาเท่าอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่ไม่มีใครเข้าใจเรา” หนึ่งในวลีคลาสสิกเกี่ยวกับความเหงาและโซเฟียก็ดูเหมือนว่าจะเห็นด้วย
เนื่องจาก Lost in Translation คือภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของคนเหงาสองคนที่โชคชะตานำพาให้มาพบเจอกันโดยบังเอิญ ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยทั้งแง่ภาษาและวัฒนธรรม ดังนั้นการที่จะขับเน้นความเหงาในจิตใจของตัวละครให้ผู้ชมได้รับรู้ได้อย่างชัดเจนที่สุด ก็ต้องให้พวกเขาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวายในโรงแรมหรูใจกลางย่านชินจูกุ ทว่าเหล่าตัวละครกลับไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศรอบตัวเลย ซึ่งนี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Lost in Translation กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่อยู่ในใจเหล่าคนเหงาอย่างไม่เสื่อมคลาย
โรงแรม Bellagio จากภาพยนตร์เรื่อง Ocean's Eleven / ภาพ: Exhibit City News
2. โรงแรม Bellagio
ใน Ocean's Eleven (2001) ปฐมบทภาพยนตร์ไตรภาคปล้นสะท้านโลกของผู้กำกับ Steven Soderbergh ที่มีทัพนักแสดงระดับ A-List ของฮอลลีวู้ดตบเท้าร่วมทีมกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น George Clooney, Brad Pitt, และ Matt Damon ซึ่งใช้ฉากหลังเป็น ‘เมืองสวรรค์ของเหล่าคนบาป’ อย่างลาสเวกัส มีโรงแรมปรากฏอยู่ในเรื่องทั้งหมด 3 โรงแรม ได้แก่ The Mirage, MGM Grand, และ Bellagio
อย่างไรก็ตาม Bellagio คือโรงแรมที่โดดเด่นที่สุดในเรื่อง ท่ามกลางข่าวลือว่าพวกเขาจ่ายเงินกว่า 150 ล้านดอลลาร์เพื่อพื้นที่โฆษณาใน Ocean's Eleven ซึ่งต่อให้ข่าวลือนี้จะเป็นความจริง ก็ต้องบอกว่ามันคือการตัดสินใจลงทุนที่คุ้มค่าของ Bellagio เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า Ocean's Eleven ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทำให้ Bellagio กลายเป็นชื่อลำดับแรกๆ ทันทีเมื่อนึกถึงโรงแรมหรู คาสิโนเลิศในลาสเวกัส ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฉากอมตะที่เหล่าตัวละครนำใน Ocean's Eleven มายืนเรียงแถวมองน้ำพุอีกด้วย ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนฉากนี้ก็ยังคงตราตรึงใจผู้ชมอยู่เสมอ
WATCH
โรงแรม Timberline Lodge จากภาพยนตร์เรื่อง The Shining / ภาพ: Square Space
3. โรงแรม Timberline Lodge
หากเคยผ่านประสบการณ์รับชมภาพยนตร์เรื่อง The Shining ผลงานระทึกขวัญระดับอมตะของ Stanley Kubrick มาก่อนคงรู้สึกอย่างเดียวกันว่าใครที่ไหนจะอยากไปเข้าพักตามรอยที่ Overlook Hotel โรงแรมอันเป็นฉากหลังของเรื่องราว เนื่องจากความสยองขวัญสั่นประสาทที่เกิดขึ้นที่ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นแค่เรื่องราวในภาพยนตร์ ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ดูเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ Overlook Hotel นั้นไม่มีอยู่จริง สแตนลีย์ได้ให้ทีมงานติดต่อโรงแรม Timberline Lodge ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับยอดเขา Mount Hood เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เพื่อใช้ในการถ่ายทำฉากด้านนอกโรงแรม ส่วนฉากด้านในเป็นการเซ็ตอัพขึ้นในสตูดิโอ Elstree Studios ใน Hertfordshire ประเทศอังกฤษ เมื่อทราบดังนี้แล้ว ใครที่อยากไปตามรอยภาพยนตร์เรื่อง The Shining ก็น่าจะรู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เพราะสามารถจองตั๋วห้องพักไปเก็บภาพที่ Timberline Lodge ได้ และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกลัวบรรยากาศสุดหลอนภายในโรงแรมที่เล่นงานเหล่าตัวละครใน The Shining จนเสียสติมาแล้ว เพราะสถานที่จริงบรรยากาศดีเหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันสบายๆ
โรงแรม Four Seasons Resort Maui จากซีรี่ส์เรื่อง The White Lotus / ภาพ: American Express
4. โรงแรม Four Seasons Resort Maui
The White Lotus คือลิมิเต็ดซีรี่ส์จากช่อง HBO ที่บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มนักท่องเที่ยวผิวขาวฐานะร่ำรวยที่เดินทางมาพักร้อนในโรงแรมสุดหรู ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะฮาวาย เรียกได้ว่าตลอดความยาว 6 ตอนของซีรี่ส์เรื่องนี้ โรงแรมแทบจะเป็นโลเคชั่นเดียวที่ปรากฏให้เห็น ดังนั้นมันจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเพื่อความสมจริง Mike White หัวเรือใหญ่ในการสร้างสรรค์ The White Lotus จึงเลือกที่จะถ่ายทำกันในโรงแรมบนเกาะฮาวายจริงๆ และโรงแรมที่เขาเลือกคือ Four Seasons Resort Maui ที่ทั้งหรูหรา กว้างขวาง ราวกับเป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีคราม
อย่างไรก็ตามการที่ไมค์เลือกหนึ่งในโรงแรมสุดหรูแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ก็เพื่อจุดประสงค์ที่ต้องการเสียดสีความโลภของเหล่าคนผิวขาวที่เข้ามายึดพื้นที่กอบโกยผลประโยชน์จากชาวพื้นเมือง และบังคับให้พวกเขากลายเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งหากใครได้ดู The White Lotus จนจบคงเข้าใจถึงประเด็นนี้เป็นอย่างดี
โรงแรม Hotel del Coronado จากภาพยนตร์เรื่อง Some Like It Hot / ภาพ: Travel Weekly
5. โรงแรม Hotel del Coronado
ในภาพยนตร์จากปี 1958 ซึ่งนำแสดงโดยเจ้าหญิงแห่งฮอลลีวู้ดแห่งยุคอย่าง Marilyn Monroe ในเรื่อง Some Like It Hot ที่เธอรับบทเป็นหญิงสาววัยขบเผาะที่มาพร้อมความร่าเริง และเป็นสมาชิกวงดนตรีหญิงล้วนที่ขึ้นแสดงที่โรงแรม Seminole Ritz ในไมอามี อย่างไรก็ตาม Seminole Ritz เป็นโรงแรมที่ไม่มีอยู่จริงซึ่งการถ่ายทำทั้งหมดเกิดขึ้นที่ Hotel del Coronado โรงแรมเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในซานดิเอโก และถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายไปเกือบ 7 ทศวรรษแล้ว แต่ในปัจจุบัน Hotel del Coronado ก็ยังคงเปิดให้บริการและกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับแฟนคลับมาริลิน มอนโรที่ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต
ข้อมูล : Mrporter
เรียบเรียง : Ramita Naungtongnim
WATCH