LIFESTYLE
บทเรียนความสัมพันธ์จาก 'Before Sunset' เมื่อความรักผลัดใบจากวัยหนุ่มสาวก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่เมื่อเหตุการณ์ในเวียนนาคืนนั้นที่เคยดูจริงเหลือเกินกลับกลายเป็นแค่เพียงภาพฝันวันวาน ราวกับว่าทั้งคู่ได้ฝังกลบเหตุการณ์คืนนั้นให้กลายเป็นเพียงอดีตตราบชั่วนิรันดร์ จนกระทั่งพวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง... |
หลังจากที่โว้กเคยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่อง Before Sunrise ไปแล้วก่อนหน้า (คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่) ซึ่งเรื่องราวใน Before Sunrise ยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะผู้กำกับ Richard Linklater ได้บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่าง Jesse และ Céline ต่อไปอีกในภาพยนตร์สองเรื่อง โดยแต่ละภาคเข้าฉายห่างกัน 9 ปี เช่นเดียวกับเวลาในเรื่องที่เคลื่อนไป 9 ปีด้วยเช่นกัน กลายเป็นซีรี่ส์ภาพยนตร์ไตรภาคที่รู้จักกันในชื่อ Before Trilogy ถ้าหากใน Before Sunrise คือความรักของวัยหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความโหยหาและฟุ้งฝัน Before Sunset ก็เปรียบเสมือนก้าวต่อไปที่เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก่อนจะเขย่าเหล่าคนช่างฝันให้ตื่นมาพบว่าความเป็นจริงไม่ได้สวยงามขนาดนั้น และความรักเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
ภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset / ภาพ: Time Out
Before Sunset เปิดเรื่องมาด้วยการนัดพบกัน 6 เดือนหลังจากขบวนรถไฟของซีลีนออกจากชานชลากรุงเวียนนาไปนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง มีเพียงเจสซีเท่านั้นที่ลงทุนบินลัดฟ้ามาจากสหรัฐอเมริกาตามคำสัญญา แต่สิ่งที่เขาเจอมีเพียงความว่างเปล่าและอากาศหนาวเหน็บของกรุงเวียนนาเท่านั้น ปราศจากวี่แววของหญิงสาวที่เขาปรารถนาจะเจอ วินาทีนั้นน่าจะเป็นตอนที่เจสซีรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความฝันอันสวยงามกับโลกแห่งความจริงว่าไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกันเสมอไป เจสซีจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านก่อนที่จะนำเรื่องราวความรักระหว่างเขากับซีลีนมาถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ จนกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง
เมื่อเหตุการณ์ในเวียนนาคืนนั้นที่เคยดูจริงเหลือเกินกลับกลายเป็นแค่เพียงภาพฝันวันวาน ทั้งเขาและเธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับความจริงและก้าวต่อไปเพื่อใช้ชีวิต โดยเฉพาะเจสซีที่ถึงขั้นตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกกับผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว ราวกับว่าเขาได้ฝังกลบเหตุการณ์คืนนั้นให้กลายเป็นเพียงอดีตตราบชั่วนิรันดร์ จนกระทั่งพวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง...
ภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset / ภาพ: Ltrdbxd
การกลับมาเจอกันใน Before Sunset ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือชะตาฟ้าลิขิตเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นตัวซีลีนเองที่ตั้งใจเดินทางมาพบกับเจสซีโดยตอนนี้เนื่องจากความโด่งดังของหนังสือ This Time ทำให้ซีลีนรู้แล้วว่าจะสามารถตามหาตัวเขาได้ที่ไหน ทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมาพบเจอเขาด้วยเหตุผลอะไร อาจจะแค่ต้องการลบล้างความผิดที่ติดค้างในใจมาตลอด 9 ปี เพราะเธอคือคนที่ผิดสัญญาเมื่อครั้งวันวาน
เจสซีกับซีลีนได้พบกันอีกครั้งในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเป็นตอนที่เจสซีเดินทางมาโปรโมตหนังสือของเขา และมีเวลาเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่เขาจะต้องขึ้นเครื่องกลับสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับเหตุการณ์ในภาคแรก วินาทีแรกที่ทั้งคู่ได้พบเจอกันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง อาวรณ์ โหยหา แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกผิด ความกระอักกระอ่วน ความอึดอัดเจือปนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ไม่มีการโผเข้ากอด หรือจุมพิตกันตามตำราภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ทั่วไป ทั้งคู่เพียงแค่ส่งยิ้มให้กันเท่านั้น ในภาคนี้ต่างก็เติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มีพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าที่การงาน การเงิน หรือแม้กระทั่งครอบครัว สังเกตได้จากลักษณะภายนอกของทั้งคู่ที่ดูดีขึ้นมาก ภูมิฐานขึ้น แต่ต่อให้พวกเขามีเงินทองมากมายแค่ไหน ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้ สิ่งนั้นคือ ‘เวลา’
โดยเฉพาะซีลีนที่การตัดสินใจของเธอเลือกที่จะไม่ไปตามนัดเมื่อ 9 ปีก่อน กลายเป็นความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอ ประกอบกับหลังจากนั้นเธอมีประสบการณ์ความรักที่ไม่ราบรื่นนัก ทำให้ภาพของผู้ชายแปลกหน้าเมื่อ 9 ปีก่อนยังคงย้อนกลับมาเสมอ เรียกได้ว่าเป็นทั้งสิ่งปลอบประโลมจิตใจแต่ในขณะเดียวกันก็คอยกัดกร่อนด้วยคำถามว่า ‘ถ้าเมื่อ 9 ปีก่อนเธอมาตามนัด ชีวิตของเธอในตอนนี้จะเป็นอย่างไร’
WATCH
ภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset / ภาพ: Amazon
ท่ามกลางบทสนทนาที่ไหลเวียนไปตามแม่น้ำแซน การได้กลับมาเจอกันในครั้งนี้เปรียบเสมือนโอกาสในการแก้ปมในใจที่เคยถูกฝังกลบไปแล้ว และในครั้งนี้ทั้งคู่ไม่มีการอ้อมค้อมเหมือนในอดีต พวกเขาไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาอีกต่อไป เพราะเวลา 9 ปีที่ผ่านมาคือบทเรียนชั้นดีว่าโอกาสในชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และถ้าปล่อยให้หลุดลอยไป มันอาจจะไม่ย้อนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 3 ดังนั้นทั้งคู่จึงเลือกที่จะใช้โอกาสครั้งที่ 2 อย่างเต็มที่ “ฉันเดาว่าในตอนที่คุณยังเด็ก คุณคงคิดว่าในชีวิตคงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับผู้คนมากมาย แต่ในตอนนี้คุณตระหนักได้แล้วว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก” ซีลีนกล่าว
กลิ่นอายที่ลอยอบอวลอยู่ใน Before Sunset จึงเป็นกลิ่นแห่งความรัก ความโหยหาอันแจ่มชัด และการไม่ปล่อยทุกอย่างให้เป็นเรื่องพรหมลิขิตตามแนวคิดวัยหนุ่มสาวเหมือนใน Before Sunrise ดังนั้นบทสนทนาของเจสซีกับซีลีนจึงไม่ค่อยฟุ้งไปกับเรื่องไกลตัว ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การรำลึกความหลังครั้งอดีต เพื่อบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายรู้ว่าวันนั้นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืม เมื่อบทสนทนายิ่งลงลึกก็ยิ่งพบว่าชีวิตของทั้งคู่ไม่เคยกลับไปมีความสุขใกล้เคียงกับค่ำคืนนั้นเลย ต่างฝ่ายต่างก็มีชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่น เป็นการตอกย้ำว่าคนที่พวกเขารักและอยากใช้ชีวิตร่วมกันมากที่สุดก็คือคนแปลกหน้าที่กรุงเวียนนาคนนั้น
ภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset / ภาพ: Ltrdbxd
‘การพบพานที่แสนสั้น การร่ำลาอันยาวนาน’ นี่คือชะตาชีวิตของเจสซีกับซีลีนที่ราวกับถูกกำหนดไว้แล้ว ท้องฟ้า ณ กรุงปารีสเริ่มถูกฉาบด้วยสีส้ม เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องเอ่ยคำลากันอีกครั้ง โดยในฉากสุดท้ายของเรื่องนั้นเชื่อเหลือเกินว่าในหัวของทั้งคู่คงมีเรื่องราวมากมายประดังประเดเข้ามาให้ขบคิดไตร่ตรอง เนื่องจากในตอนนี้ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี่แหละคือคนที่เฝ้าตามหามาตลอด ระยะเวลา 9 ปี ที่ผ่านมาเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับความสุขในการได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ชั่วโมง อย่างไรก็ตามในตอนนี้พวกเขาไม่ใช่วัยรุ่นช่างฝันคนเดิมอีกแล้ว ถึงอยากจะไขว่คว้าคนตรงหน้ามาอยู่ในอ้อมกอดเพียงใด แต่ก็ต้องตระหนักไว้เสมอว่าพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีภาระมากมายให้ต้องรับผิดชอบ พวกเขาไม่อาจทิ้งทุกอย่างและกระโจนลงรถไฟอย่างที่เคยทำได้ ถือเป็นการต่อสู้กันระหว่างเหตุผลในจิตใจกับห้วงอารมณ์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ เลยทีเดียว
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงกีตาร์บรรเลงขึ้นก่อนจะตามมาด้วยถ้อยคำที่ซีลีนบรรจงร้อยเรียงออกมาเป็นบทเพลง 'Let Me Sing You a Waltz' ซึ่งคือสิ่งที่ซีลีนร้อยเรียงความรู้สึกในจิตใจ ความคิดถึง ความโหยหาอาวรณ์ที่เธอมีต่อเจสซี ผู้ชายแปลกหน้า ณ กรุงเวียนนา กลั่นออกมาเป็นบทเพลงเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้ร้องให้เขาฟัง เพลงนี้ถือเป็นการเผยความรู้สึกในใจที่ถูกม่านหมอกปกคลุมไว้ให้เขาได้รับรู้ เจสซีตั้งใจฟังบทเพลงดังกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าได้เห็น เพียงแต่รอยยิ้มของเขาในตอนนี้ช่างแตกต่างกับรอยยิ้มเมื่อ 9 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ปราศจากความฟุ้งฝันแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความโหยหาอาวรณ์ เจือปนด้วยเศษเสี้ยวความเจ็บปวด และความรู้สึกผิดที่ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้ ก่อนที่ภาพยนตร์จะจบลงทิ้งตะกอนให้ผู้ชมได้คิดว่าอีก 9 ปีข้างหน้าชีวิตของทั้งคู่จะเป็นเช่นไร และหากตัวเองเป็นเจสซีจะตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์นี้...
ข้อมูล : Ramita Naungtongnim
WATCH