หากจะกล่าวถึงตัวแทนของความงามตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั้นถือเป็นธรรมเนียมที่แต่ละประเทศจะส่งตัวแทนเพื่อนำเสนอเสน่ห์ เรื่อยไปจนถึงวัฒนธรรมอันล้ำค่าของประเทศนั้นๆ ผ่านตัวบุคคลเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทั่วโลก ‘การประกวดนางงาม’ จึงเป็นสิ่งที่ปฏิบัติต่อกันมาเกือบศตวรรษเพื่อคัดเลือกสาวงามทั้งภายนอกและภายในนำเสนอตัวตนของประเทศได้ทรงคุณค่ามากที่สุด ‘Miss World’ ก็เป็นอีกหนึ่งเวทีนางงามอันเก่าแก่ที่ล่าสุดในปี 2025 นี้ ‘โอปอ-สุชาตา ช่วงศรี’ นางงามจากประเทศไทยได้คว้ามงกุฎแห่งชัยชนะนี้ได้ ซึ่งถือเป็นตัวแทนนางงามไทยคนแรกบนหน้าประวัติศาสตร์ตลอด 74 ปีของการประกวดและสร้างความภูมิใจให้แก่คนไทยมหาศาล
แน่นอนว่ากว่าเวทีประกวดมิสเวิลด์จะมาจุดนี้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงทั้งกฎเกณฑ์หรือกติกามานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าครั้งที่จำไม่ลืมบนหน้าประวัติศาสตร์คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการห้ามสวม ‘ชุดว่ายน้ำบิกินี่’ บนเวทีหลังจากผ่านช่วงปี 1951 มาแล้ว ซึ่ง Vogue History สัปดาห์นี้ขอพาทุกคนย้อนไปยังจุดเปลี่ยนของมิสเวิลด์ที่ถูกเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปตลอดกาลเพียงแค่การสวมชุดบิกินี่แข่งขันเท่านั้น
ย้อนกลับไปยังเวทีการประกวดมิสเวิลด์ปี 1951 ก่อตั้งโดย Eric Morley จัดขึ้นที่ Lyceum Ballroom กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เดิมทีใช้ชื่อว่า ‘Festival Bikini Contest’ ซึ่งชื่อของการประกวดนั้นมุ่งเน้นไปที่การสวมใส่บิกินี่เป็นหลัก ในขณะนั้นเองมีผู้เข้าประกวด 27 คนจาก 7 ประเทศ โดยผู้ที่ได้รับตำแหน่ง Miss World คนแรกของโลกคือ ‘Kiki Håkansson’ นางงามชาวสวีเดนที่เพิ่งเสียชีวิตลงไปเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา แน่นอนว่าการรับตำแหน่งท่ามกลางความยินดีของเหล่าผู้ชมทั่วโลกต้องแลกมาซึ่งคำวิจารณ์อย่างหนักหน่วง เมื่อคิกิสวมใส่ชุดว่ายน้ำทูพีซหรือบิกินี่ขณะรับมงกุฎที่ไม่เพียงแต่สร้างความฮือฮา แต่ยังจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงทางสังคมและศาสนาอย่างกว้างขวาง
คิกิรับตำแหน่งท่ามกลางคำครหาโดยกลุ่มศาสนจักรคาทอลิก นำโดย Pope Pius XII ที่ออกมาประณามว่าเป็นการกระทำที่ ‘ไม่เหมาะสม’ และ ‘ไม่สุภาพ’ เนื่องจากในสมัยนั้นหญิงงามที่แต่งกายเผยเนื้อหนังมังสาเกินควรจะถูกมองว่าไม่ให้เกียรติแก่ตัวเอง ประเทศ หรือแม้แต่การไม่ให้เกียรติเวทีประกวดแห่งนี้ที่ขึ้นชื่อว่าระดับโลก นอกจากนี้หลายประเทศที่มีวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยมยังขู่เข็ญอีกว่าจะถอนตัวจากการประกวดในอนาคต ผลจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างล้นหลามทำให้ผู้จัดประกวดตัดสินใจยกเลิกการมอบมงกุฎในชุดว่ายน้ำในปีถัดไปและแทนที่ด้วยชุดราตรีสง่างาม จนกระทั่งปี 1976 ชุดราตรีถูกนำมาใช้แทนชุดว่ายน้ำในการรับมงกุฎอย่างถาวร
แม้ในภายหลังชุดว่ายน้ำจะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการประกวดมิสเวิลด์อีกครั้ง แต่คิกิก็ยังขึ้นแท่นเป็นหญิงงามผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับมงกุฎในชุดว่ายน้ำทูพีซ ซึ่งเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในมุมมองของสังคมที่มีต่อความงามและบทบาทของผู้หญิง เมื่อเดินทางมาถึงยุคปัจจุบันนี้แล้ว ความงามถูกส่งต่อผ่านเสื้อผ้าและร่างกายที่ถึงแม้จะน้อยชิ้นลงไปบ้างแต่การมองให้เป็น ‘ศิลปะ’ ก็ล้วนสะท้อนสังคมของหญิงสาวอีกมุมมองหนึ่งได้โดยไม่ต้องมองแค่ด้านลบหรือด้านกามารมณ์เพียงอย่างเดียว แล้วผู้อ่านโว้กล่ะคิดเห็นอย่างไรกับการที่นางงามแต่งชุดว่ายน้ำบนเวทีการประกวดระดับโลกเช่นนี้?
ตามไปอ่านบทความ VOGUE HISTORY เพิ่มเติมได้ ที่นี่