นับเป็นอีกธรรมเนียมหนึ่งในทุกๆ เดือนพฤษภาคมที่เมืองคานส์ของประเทศฝรั่งเศสจะถูกฉาบด้วยแสงแฟลชจากการประชันแฟชั่นพรมแดงของเหล่าเซเลบริตี้ และม่านสุดหรูที่รอต้อนรับเหล่าคนทำหนังนอกกระแสจากทั่วทุกมุมโลก เทศกาลหนังเมืองคานส์ (Festival de Cannes) เวทีทรงอิทธิพลของโลกภาพยนตร์ที่ไม่ใช่แค่พื้นที่ฉายหนังนอกเหนือจากหนังปกติที่เข้าโรงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่ศิลปะ ภาพยนตร์ แฟชั่น หรือแม้แต่การเมืองหล่อหลอมอยู่เคียงข้างกันอย่างซับซ้อน สำหรับเทศกาลหนังคานส์ที่จัดขึ้นทุกปีมาตั้งแต่ปี 1946 แทบจะไม่เคยหยุดหมุนยกเว้นเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ นอกจากเพราะโรคระบาดไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทศกาลหนังเมืองคานส์เคยจำต้องยุติกลางคันจากเหตุโกลาหลของประชาชนชาวฝรั่งเศส Vogue History พาย้อนกลับไปยังปี 1968 หนึ่งในช่วงเวลาที่เมืองคานส์ไม่อาจเพิกเฉยต่อแรงกระเพื่อมของสังคมได้ เทศกาลหนังสุดยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ท่ามกลางคลื่นปะทุของเหล่านักศึกษา แรงงาน หรือแม้แต่เหล่าผู้กำกับที่เป็นหัวหอกในการลุกฮือครั้งนั้น
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 1968 ปีที่ฝรั่งเศสเผชิญกับวิกฤตทางสังคมและการเมืองครั้งใหญ่อันเป็นไฟลุกลามมาจากการประท้วงของนักศึกษาในกรุงปารีสจนนำมาสู่การหยุดงานทั่วประเทศของเหล่าแรงงาน การเคลื่อนไหวครั้งนั้นเป็นการแสดงจุดยืนถึงความไม่พอใจของประชาชนชาวฝรั่งเศสที่มีต่อระบบการศึกษาแบบล้าหลัง การกดขี่ของรัฐ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ฝังรากลึกมายาวนาน เสียงเพรียกแห่งการปฏิรูปจึงไม่ได้สะท้อนอยู่แค่ในภาคเศรษฐกิจการเมืองแต่ยังกังวานมาถึงแวดวงศิลปะและวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์สำคัญของฝรั่งเศส ทำให้เทศกาลหนังเมืองคานส์ ณ เวลานั้นกลายเป็นเวทีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงความปั่นป่วนของสังคมได้ แม้จะมีการเริ่มงานตามธรรมเนียมในวันที่ 10 พฤษภาคมของทุกปี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศของงานกลับไม่เหมือนเฉกเช่นทุกครั้ง เมื่อบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ชั้นนำของฝรั่งเศสอย่าง François Truffaut, Jean-Luc Godard, Claude Lelouch และ Louis Mallie ได้ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนการประท้วงของประชาชน
โดยพวกเขามองว่าเทศกาลนี้ไม่ควรดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงประท้วงเพื่อการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน พวกเขาจึงเริ่มรณรงค์ให้มีการยุติเทศกาลหนังพร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้เข้าร่วมถอนตัวออกจาการแข่งขันสายประกวดเพื่อแสดงถึงทิศทางเดียวกันกับขบวนการเรียกร้องภายนอก การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่การออกแถลงการณ์หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นในการเรียกร้องทางการกระทำ โดยได้มีการพยายามขัดขวางการฉายภาพยนตร์บางรอบ การปีนเวทีเพื่อเรียกร้องให้ยุติงาน รวมถึงการถอนตัวออกกลางการแข่งขัน ซึ่งเหตุการณ์ที่เป็นที่พูดถึงอย่างการที่ François Truffaut และ Jean-Luc Godard ได้ขึ้นเวทีเพื่อประท้วงให้ยกเลิกการจัดเทศกาลหนังเมืองคานส์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องที่แบ่งออกเป็นสองฝั่งมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แม้แต่คณะกรรมการบางคนเองก็ได้แสดงจุดยืนโดยการลาออกจากหน้าที่ ความโกลาหลเริ่มก่อตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมและมาปะทุในวันที่ 10 พฤษภาคม การเดินขบวนของนักศึกษากว่า 30,000 คนส่งผลให้เกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ประท้วง กลายเป็นคืนแห่งการขนานนามว่า "คืนแห่งเครื่องกีดขวาง" โดยมีผู้บาดเจ็บ 367 รายและถูกจับกุม 461 ราย รวมถึงเหตุจลาจลที่มาจากการกระทำของผู้คน ด้วยความปั่นป่วนที่แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วแต่ Jean-Luc Godard ก็ได้ออกมาเรียกร้อง "ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดในวันนี้ที่จะฉายเพื่อสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของหมู่คนงานและนักศึกษาเลย ไม่มีแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นของ Milos, Polanski, François หรือแม้แต่ฉัน" เขากล่าวอย่างดุเดือด
การลาออกและการประท้วงของผู้กำกับส่งให้งานเทศกาลดำเนินต่อไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งบรรยากาศมาคุไม่แน่นอนก็ครอบงำตลอดช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่จัดงาน กระทั่งสถานการณ์ภายในที่ได้ปะทุความตึงเครียดจนถึงขีดสุด ผู้จัดงานได้ตัดสินใจยุติเทศกาลในวันถัดมาหลังจากการขึ้นเวทีของผู้กำกับ ไร้ซึ่งการประกาศรางวัลใดๆ รวมถึงไม่มีผู้กำกับคนไหนที่ชนะรางวัลในปี 1968 ซึ่งการยุติงานกลางคันครั้งนั้นนับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์เทศกาลหนังเมืองคานส์ มากกว่าการยอมจำนนต่อกระแสสังคมมันเป็นการสะท้อนเบ้าหลอมของประเทศฝรั่งเศสที่แสดงให้เห็นว่าเส้นเลือดหลักที่คอยหล่อเลี้ยงประเทศนี้อย่างศิลปะและวัฒนธรรมไม่อาจแยกออกจากบริบทสังคมและการเมืองที่หล่อหลอมขึ้นมาได้ โดยมรดกที่ความโกลาหลหลงเหลือไว้ในปีถัดมาและในอนาคตนั้นคือความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายในเทศกาลหนังที่ได้มีการก่อตั้ง 'Quinzaine des Réalisateurs' หรือ 'Director's Fortnight' เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับผู้กำกับอิสระและผลงานนอกกระแส แม้ Director's Fortnight จะไม่ได้เป็นลู่วิ่งหลักของการแข่งขันแต่ก็ยังได้รับความเคารพในฐานะพื้นที่ที่สะท้อนเจตนารมณ์ในปี 1968 อย่างแรงกล้า
เหตุการณ์ความโกลาหลในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 1968 ครั้งนั้นนับเป็นบทเรียนประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าพรมแดงอันหรูหราก็ไม่อาจปกปิดเสียงของประชาชนได้ และแม้ศิลปะจะถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของความบันเทิงแต่กลับไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงกระแทกทางการเมืองได้ ศิลปินและคนทำหนังผู้มีความกล้าที่จะยืนหยัดอยู่ข้างความเปลี่ยนแปลงแม้จะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียโอกาสหรือเส้นทางอาชีพ การยุติเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 1968 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทั่วไปในหน้าประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นใบเบิกทางให้เทศกาลนี้กลายเป็นเวทีสำคัญที่คอยหล่อเลี้ยงความหลากหลายทางแนวคิดและการแสดงออกอย่างเสรี ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางวัฒนธรรมอันฝังรากลึกของฝรั่งเศสที่ยังคงดังกังวานมาจนถึงปัจจุบัน
(สามารถตามไปอ่านบทความเกี่ยวกับ VOGUE HISTORY เพิ่มเติมได้ ที่นี่)
กราฟิก: จินาภา ฟองกษีร
Photo: NOA / Getty Images