FASHION

เปิดบทสัมภาษณ์ ‘Rebecca Ting’ กับเส้นทางการเติบโตของ Beyond The Vines ไลฟ์สไตล์แบรนด์จากสิงคโปร์

“เมื่อก่อตั้งแบรนด์ฉันคิดว่ามันจำเป็นต้องผสานศิลปะกับแฟชั่นเข้าด้วยกัน นั่นรวมไปถึงการออกแบบกับแฟชั่น และสถาปัตยกรรมกับแฟชั่นด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างแบรนด์ที่สะท้อนถึงความสนุกสนานและเต็มไปด้วยพลัง แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความมั่นคง”

     หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากับกระเป๋าทรงเกี๊ยวยอดฮิตที่ไม่ว่าใครก็สะพายกันทั้งนั้น Dumpling Bag กระเป๋ายอดฮิตจาก Beyond The Vines แบรนด์ไลฟ์สไตล์จากประเทศสิงคโปร์ที่ก่อตั้งโดยคู่สามีภรรยาที่ผสมผสานระหว่างแฟชั่น ศิลปะ และสถาปัตยกรรม ผ่านรูปทรงที่แปลกตาและการจับคู่สีที่สะท้อนถึงสไตล์ของแบรนด์ จนล่าสุด Beyond The Vines ได้มาเปิด Design House แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้แบรนด์เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น โว้กพาพูดคุยกับ ‘Rebecca Ting’ เจ้าของ Beyond The Vines เจาะลึกถึงเบื้องหลังและความสำเร็จของแบรนด์ผ่านบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ

 

VOGUE: ช่วยเล่าที่มาของชื่อ ‘Beyond The Vines’ ได้ไหม?

Rebecca Ting: Beyond The Vines ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 โดยฉันและดาเนียลสามีของฉัน ชื่อแบรนด์ของเรามีที่มาจากการที่เราชื่นชอบในลักษณะของเถาวัลย์ เพราะมันอาจจะไม่ใช่พืชที่โดดเด่นที่สุดแต่มีความแข็งแกร่งและทนทาน เรารู้สึกว่ามันสะท้อนถึงแนวคิดที่เราต้องการ

เถาวัลย์ต้องการรากฐานที่มั่นคงและต้องยึดติดกับบางสิ่งเพื่อให้เจริญเติบโต แม้จะอยู่ในสภาพอากาศที่เลวร้าย เราต้องการให้แบรนด์ของเรามีรากฐานแนวคิดลักษณะคล้ายเถาวัลย์นี้ ในเชิงยึดมั่นกับบางสิ่งไม่ว่าจะเป็นเทรนด์หรือสังคม เพื่อที่จะชี้นำทิศทางของแบรนด์ในอุตสาหกรรมนี้ได้ นี่คือที่มาของชื่อแบรนด์ของเราค่ะ

 

VOGUE: แนวคิดหลักในการออกแบบของ Beyond The Vines คืออะไร?

Rebecca Ting: ตอนที่ก่อตั้งแบรนด์ ฉันรู้สึกว่าภูมิภาคเราขาดการออกแบบที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบที่ไม่ซีเรียสเกินไป เพราะบางครั้งการออกแบบที่เน้นความจริงจังอาจทำให้ความสมดุลในแนวทางการออกแบบลดลงได้  ในอดีตคนทำงานด้านการออกแบบมักจะไม่ค่อยสังสรรค์กับคนในวงการแฟชั่น เพราะความแตกต่างในแนวทางการทำงานและบุคลิกภาพ แนวทางการทำงานของทั้งสองกลุ่มจึงไม่ค่อยผสานกัน แต่ฉันรู้สึกว่าเราต้องทำในสิ่งที่ต่างออกไป

ฉันเติบโตในครอบครัวที่ทำงานศิลปะ พ่อของฉันเป็นศิลปินและฉันเองก็เรียนศิลปะ แต่ฉันหลงใหลในแฟชั่น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ไม่เคยถูกจับมารวมกันอย่างชัดเจน เมื่อก่อตั้งแบรนด์ฉันคิดว่ามันจำเป็นต้องผสานศิลปะกับแฟชั่นเข้าด้วยกัน นั่นรวมไปถึงการออกแบบกับแฟชั่น และสถาปัตยกรรมกับแฟชั่นด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างแบรนด์ที่สะท้อนถึงความสนุกสนานและเต็มไปด้วยพลัง แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความมั่นคงในตัวผลิตภัณฑ์ ทุกอย่างของ Beyond The Vines ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการออกแบบร้านถูกออกแบบโดยพวกเราเอง

สำหรับแรงบันดาลใจในศิลปะ ฉันหลงใหลในศิลปะยุคกลางและ Bauhaus ที่เน้นให้การออกแบบเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น การทำสินค้าหรูหราให้เป็นสินค้าที่จับต้องได้ง่ายถือเป็นแนวคิดที่เราทำมาปรับใช้ ทีมออกแบบของเราเองก็มีประสบการณ์และความรู้ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวสิงคโปร์แต่ก็มีบางคนจบการศึกษาจาก Central St. Martins ในลอนดอน พวกเขามีความรู้และความสามารถระดับสูงในด้านแฟชั่นและการออกแบบ เราพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์จากมุมมองการออกแบบและสถาปัตยกรรม พร้อมทั้งทำให้สินค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เราพยายามทำค่ะ

 



WATCH




VOGUE: ทำไม Beyond The Vines ถึงเชื่อว่าการออกแบบที่ดีควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน?

Rebecca Ting: ฉันคิดว่าการออกแบบเป็นอีกหนึ่งภาษาสากลที่ไร้พรมแดน การออกแบบจากสิงคโปร์อาจได้รับความนิยมในญี่ปุ่นซึ่งเราก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และมันก็สามารถได้รับการต้อนรับที่ดีในกรุงเทพฯ ได้เช่นกัน การออกแบบสามารถเข้าถึงผู้คนได้ทุกที่ มันเป็นภาษาที่ทุกคนสามารถสื่อสารกันได้ แม้ว่าบางครั้งจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าใจศิลปะ

 

VOGUE: คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ท้าทายสำหรับ Beyond The Vines?

Rebecca Ting: หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ การทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่าง เราพยายามส่งต่อวิสัยทัศน์ของแบรนด์ผ่านการออกแบบที่ทุกคนเข้าถึงได้ เช่น Dumpling bag หรือกระเป๋าอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างของแนวคิดการออกแบบที่เราต้องการจะสื่อ เราไม่มาตั้งคำถามกับการออกแบบว่า “สิ่งนี้เหมาะกับผู้หญิงหรือผู้ชาย?” “บุคคลนี้มีอายุเท่าไร?” “สีผิวของเขาเป็นแบบไหน?” แต่เราออกแบบโดยคำนึงถึงความรู้สึกและประสบการณ์ในการใช้งานเป็นหลัก เช่น ความเบาของกระเป๋า ความสามารถในการจุของ และความทนทาน

อีกหนึ่งความท้าทายที่เราพบคือ การตีตลาดสินค้าของเราไปยังต่างประเทศเพื่อให้ผู้คนรับรู้ถึงแบรนด์ เช่น ในญี่ปุ่นหรือกรุงเทพฯ นี่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเรา เพราะการเจาะตลาดต่างประเทศต้องทำความเข้าใจและศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละประเทศอย่างรอบคอบ ซึ่งในประเทศไทย ภาษาเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากจริงๆ ค่ะ ฉันคิดว่ามันยากพอๆ กับภาษาญี่ปุ่น แต่ฉันเชื่อว่าภาษาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรม ดังนั้นการทำความเข้าใจภาษาเพื่อเอาชนะอุปสรรคจึงเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งค่ะ

 

VOGUE: Beyond The Vines เริ่มจากการทำเสื้อผ้าผู้หญิงขาย อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แบรนด์หันมาทำสินค้าไลฟ์สไตล์?

Rebecca Ting: ตอนก่อตั้งแบรนด์เมื่อหลายปีก่อน เรามองตัวเองในฐานะสตูดิโอออกแบบและยังคงมองตัวเองแบบนั้นอยู่เสมอ เราเริ่มต้นด้วยเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับผู้หญิงเพราะมันเป็นสินค้าที่เข้าถึงได้ง่าย และหลังจากนั้นเราก็ค่อยๆ พัฒนาไปยังสินค้าประเภทอื่นๆ

หลังจากช่วงโควิด-19 เราได้ขยายประเภทสินค้าจนปัจจุบันสินค้ามีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงแล้ว เรายังมีเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายและสำหรับเด็กอีกด้วย แม้ว่าเราจะเริ่มต้นจากเสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่เราก็ตั้งใจจะพัฒนาให้หลากหลายมากขึ้นค่ะ

 

VOGUE: จากการที่ Beyond The Vines ได้เปลี่ยนผ่านอะไรๆ มาหลายอย่าง อะไรคือสิ่งสำคัญในการสร้างแบรนด์?

Rebecca Ting: ฉันเชื่อว่าจิตวิญญาณและเสียงของแบรนด์มีความสำคัญมากค่ะ เพราะความมั่นคงของแบรนด์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิตวิญญาณหรือเสียงแบรนด์มีความมั่นคงเช่นกัน นั่นรวมไปถึงพลังของแบรนด์ด้วยค่ะ เมื่อเราเปิดตัวที่กรุงเทพฯ ผู้คนที่มาร่วมงานหรือพันธมิตรของแบรนด์ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้แบรนด์เราเติบโต

เรามีเสาหลักที่ให้ความสำคัญมากๆ ประกอบไปด้วยบุคคลจากหลายสาขา เช่น การทำอาหาร วรรณกรรม สถาปัตยกรรม การออกแบบ และภาพยนตร์ เมื่อเราเข้าสู่วัฒนธรรมใหม่ๆ คนในวงการแฟชั่นและภาพยนตร์มักจะปรับตัวได้รวดเร็ว พวกเขาสามารถเข้าใจในความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ของวัฒนธรรมนั้นๆ ได้ ซึ่งช่วยให้แบรนด์มีรากฐานที่มั่นคงในแต่ละประเทศได้

ในแต่ละประเทศที่ได้ขยายสาขาไป เราไม่เพียงแค่เชื่อมโยงบุคคล แต่ต้องการให้พวกเขาร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้านความคิดสร้างสรรค์ เหมือนกับการสะท้อนวัฒนธรรมและความหลากหลายผ่านผู้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เช่น เชฟที่เป็นศิลปินหรือรักแฟชั่น นักดนตรีที่ก็เป็นนักเขียนด้วย ฉันคิดว่าส่วนนี้สำคัญมากสำหรับเรา เพราะมันช่วยให้ผู้คนเข้าใจการออกแบบอย่างแท้จริง ดังนั้นการสร้างความสัมพันธ์กับ Community จึงถือเป็นส่วนสำคัญในการรักษาจิตวิญญาณของแบรนด์ค่ะ

 

VOGUE: อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จ?

Rebecca Ting: ทีมงานของเราค่ะ ฉันรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของแบรนด์ ทีมงานของเราเป็นหัวใจหลักที่ทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

 

VOGUE: คุณรู้สึกอย่างไรกับงานเปิดสาขาล่าสุดที่กรุงเทพ และคุณวางแผนสำหรับประเทศไทยอย่างไร?

Rebecca Ting: ฉันรู้สึกตกใจกับงานวันนั้นจริงๆ ค่ะ แม้ว่าจะได้ยินมาก่อนว่าจะมีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก แต่บรรยากาศที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ฉันอ้าปากค้างอยู่ดีค่ะ ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันบ้ามากจริงๆ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้นทำให้ฉันรู้สึกมีพลังและกระฉับกระเฉง

สำหรับความคาดหวังพูดตรงๆ ว่าฉันไม่แน่ใจว่าจะคาดหวังอะไรจริงๆ เนื่องจากเราเริ่มต้นที่ประเทศไทยซึ่งมีลูกค้าชาวไทยบางคนเคยไปร้านของเราที่สิงคโปร์อยู่แล้ว ดังนั้นการขยายสาขามายังประเทศไทยจึงเป็นเรื่องที่คาดหวังได้ หลังจากเราเปิดร้านที่สิงคโปร์และญี่ปุ่น ฉันรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมื่องที่มีชีวิตชีวามาก ทั้งความหลากหลาย ทั้งอาหารริมถนนและร้านอาหารระดับท็อป รวมถึงการช็อปปิ้งที่มีทั้งตลาดริมถนนและแบรนด์ชั้นนำ ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่มาที่นี่

การสนับสนุนที่ได้จากทุกๆ คนมีค่าสำหรับเรามาก แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่ 6 ของฉันที่มาเยือนกรุงเทพฯ ในปีนี้ แต่ทุกครั้งที่มาที่นี่ ฉันก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศ ความหลงใหลในดนตรี และบาร์แจ๊สที่นี่ก็ยอดเยี่ยม มันน่าทึ่งมากจริงๆ ค่ะ

 

VOGUE: คุณคาดหวังกับการเปิดสโตร์ที่ไทยไว้มากน้อยแค่ไหน? 

Rebecca Ting: เมื่อปีที่แล้ว เราจัดป๊อบอัพ 4 แห่งในโตเกียว แบ่งตามฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูร้อน และฤดูหนาว โดยแต่ละแห่งจะมีธีมหรือคอนเซปต์เฉพาะของตัวเอง ซึ่งการจัดป๊อบอัพที่ญี่ปุ่นมักจะใช้เวลาสั้นมาก บางครั้งแค่ 3 วัน โดยปกติแล้วป๊อบอัพของเรามักใช้เวลา 2 สัปดาห์, 1 เดือน หรือแม้กระทั่ง 3-6 เดือน แต่ที่ญี่ปุ่นมันเข้มงวดและรวดเร็วมาก ปีนี้เราได้จัดป๊อบอัพในญี่ปุ่นไปแล้ว 2 ครั้ง และวางแผนจะเปิดร้านแบบถาวรในช่วงต้นปีหน้า การเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นถือเป็นความท้าทายที่ใหญ่และต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าอย่างรอบคอบค่ะ

หลังจากเปิดร้านที่โตเกียวแล้ว เรามีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 2-3 แห่งในอีก 1-2 ปีข้างหน้า แต่ที่กรุงเทพฯ ต่างออกไป เรายังไม่เคยมาเปิดป๊อบอัพที่นี่มาก่อน เราเข้ามาและเปิดร้านแรกเลยซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ การเปิดร้านในกรุงเทพฯ จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น

ตอนที่เริ่มติดป้ายบิลบอร์ด เราได้รับข้อความมากมายและภาพถ่ายจากลูกค้าหลายคนที่ยินดีและรอคอยการเปิดตัวของเรา การเปิดร้านที่กรุงเทพฯ จึงพิเศษเป็นอย่างมาก เพราะเรารู้ว่า Beyond The Vines จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้า ดังนั้นเราจึงไม่ลังเลที่จะเข้ามาเปิดร้านใหญ่ที่สุดที่นี่ และฉันตั้งใจที่จะทำให้เต็มที่ค่ะ

 

 

WATCH