FASHION
คุยกับ 'ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์' ผู้อัปเดตเวอร์ชั่นของตัวเองให้อยู่ในบทบาทใหม่เสมอ“ชีวิตเหมือนกับแม่น้ำ ส่วนเราคือน้ำ ซึ่งอาจจะไหลไปเจอก้อนหิน น้ำตก รุ้งกินน้ำ หรือพายุฝน แต่ถึงอย่างไรสายน้ำนี้ก็จะไหลต่อไปได้” ญาญ่ากล่าว |
หลายครั้งที่โว้กได้คุยและอัปเดตชีวิตของ “ญาญ่า” และนี่คือครั้งหนึ่งที่เมื่อจบการสัมภาษณ์แล้วเรารู้สึกว่าเธอเติบโตขึ้นมากจริงๆ ไม่เพียงในบทบาทนักแสดง ไอคอนแห่งโลกแฟชั่น แต่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่เจอทั้งสุขและทุกข์ จนกลายเป็นญาญ่าในเวอร์ชั่น 2023 ที่เธอบอกว่าเป็นอีกปีที่ชีวิตได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ อีกครั้ง
Vogue: ญาญ่าเคยเล่าว่าจะพบเวอร์ชั่นใหม่ของตัวเองทุกๆ 5 ปี ถ้าอย่างนั้นญาญ่าในวันนี้เป็นอย่างไร
Yaya: เวลาเป็นอะไรที่ประหลาดมากค่ะ (ยิ้ม) ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเข้าวงการบันเทิงเมื่อวานนี้เอง มุมหนึ่งจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนเยอะ แต่แน่นอนว่าทุกคนต้องโตขึ้น ทั้งอายุและความคิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เปลี่ยนไปน่าจะเป็นมุมมองชีวิตจากการสะสมประสบการณ์บ้าง ความรู้สึกบ้าง ได้เจอคนใหม่ และเห็นอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ญาญ่าในวันนี้รู้สึกว่าเห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัวมากขึ้น ทั้งเรื่องงานและชีวิต ถ้าเป็นสมัยเด็กๆ เวลาเพื่อนชวนไปแฮงเอาต์จะคิดว่าโอเคๆ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ไม่ค่อยได้ทบทวนว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วกับสิ่งที่มีอยู่ ทั้งครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่เข้าใจ มีพี่แบร์ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ที่คอยดูแลกันและกัน รวมถึงได้ทำงานที่รู้สึกว้าวอยู่ทุกวัน
V: นับจากวันแรกในวงการบันเทิง โลกแฟชั่นรอบตัวญาญ่าเปลี่ยนไปจากเดิมแค่ไหน
Y: เยอะมากค่ะ เราเข้ามาในยุคที่บิ๊กอายกับกระโปรงฟูๆ กำลังฮิต ไม่ว่าถ่ายแฟชั่นกับนิตยสารฉบับไหน คอนแทกต์เลนส์จะใหญ่เท่าตา กะพริบตาทีหนึ่งจะเจ็บมาก (หัวเราะ) จากวันนั้นแฟชั่นก็ค่อยๆ เดินทางไปสู่ความเป็นธรรมชาติ จากที่ต้องเติมหน้านู่นนี่ ในวันนี้ขนตาฟาดๆ หายไป ค่อยๆ แต่งหน้าน้อยลง ดูจริงและเข้าถึงง่ายขึ้น ส่วนสไตล์ของตัวเองไม่ค่อยเปลี่ยน เสื้อบางตัวที่เคยใส่เมื่อ 10 ปีก่อนก็ยังใส่อยู่ ชอบชุดที่ให้ความรู้สึกเท่ๆ อาจเป็นชุดเก่าก็ได้ แต่ยังใส่ได้แบบสบายๆ
V: หลายปีที่ผ่านมา ญาญ่าได้รับเชิญให้ไปดูแฟชั่นโชว์ที่ต่างประเทศบ่อยครั้ง เรื่องยากที่สุดของการทำงานที่นั่นคืออะไร
Y: อย่างแรกคือเราไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย แค่ได้ถ่ายรูปกับช่างภาพที่ชอบก็รู้สึกเกร็งแล้ว และเขาไม่มีเวลาให้ทำใจหายตื่นเต้น ถึงหน้าเซตก็ต้องพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ เรื่องการเตรียมตัวอาจไม่ต่างจากที่เมืองไทย แต่ใช้สมาธิมากกว่า เพราะมีทีมงานเยอะกว่า 10 เท่า ถ้าเราช้าจะทำให้ทุกคนเสียเวลา และเงินที่ต้องใช้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีมงานที่นั่นจึงทำงานกันเร็วมาก บางทีกดชัตเตอร์ 10 ครั้งก็จบแล้ว แต่ข้อดีของเราคือสามารถทิ้งความรู้สึกกวนใจ แล้วอยู่กับงานตรงหน้าได้ง่าย เป็นทักษะที่ได้มาตอนไหนไม่รู้ แต่ดีใจมากที่มีทักษะนี้ เพิ่งมาทำได้ตอนโตนะคะ สมัยเด็กๆ นี่ลนลานตั้งแต่ออกจากบ้าน (หัวเราะ)
V: สิ่งที่เซอร์ไพร์สทุกครั้งเวลาไปทำงานที่ต่างประเทศคืออะไร
Y: ความพิถีพิถันของทีมงานในการทำโชว์ ตั้งแต่เพลง การจัดแสง จนถึงคอลเล็กชั่นต่างๆ ที่มีเวลาออกแบบน้อยมาก แต่เห็นทีไรจะรู้สึก ว้าว! ทำได้อย่างไร เหมือนสมองของเขาไม่เคยหยุดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เลย ทุกอย่างที่ออกมาถึงทำให้คนดูอ้าปากค้าง และทำให้รู้สึกชุ่มชื่นจิตใจมากๆ มันเป็นทั้งอาหารตาและจิตวิญญาณ กับการได้เห็นคนที่มีแพชชั่นกับงานที่ทำมากๆ เหมือนเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนั้นจริงๆ
WATCH
V: เรามักจะเห็นญาญ่าพร้อมรอยยิ้ม แต่มนุษย์ย่อมมีมุมที่แข็งแรงและอ่อนแอ ญาญ่าจะร้องไห้ให้กับเรื่องอะไร
Y: จริงๆ ไม่ค่อยทุกข์เลยค่ะ อย่างเดียวที่อาจทำให้ร้องไห้ได้ ไม่รู้คนอื่นเคยเป็นไหม พูดแล้วเหมือนเห็นแก่ตัวหน่อยๆ คือทุกครั้งที่กลับจากไปเที่ยว จะรู้สึกสับสนว่าทำไมต้องตื่นเช้าไปทำงาน พอลุกไปอาบน้ำก็ร้องไห้ (หัวเราะ) งงตัวเองเหมือนกัน คงเหมือนเด็กที่หมดเวลาปิดเทอมแล้ว (หัวเราะ)
V: ถ้าถามถึงการเดินทางในฐานะนักแสดง บทเรียนอะไรที่ทำให้เติบโตขึ้น
Y: มีเรื่องหนึ่งที่นักแสดงหลายคนน่าจะรู้สึกคล้ายกัน เวลาทำงานเยอะๆ จนบางครั้งรู้สึกว่าไม่อยากเล่นอะไรแล้ว เพราะบทที่ได้รับค่อนข้างเหมือนเดิม บางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะทำให้แตกต่างอย่างไร เพราะร่างกายทำซ้ำจนเป็นอัตโนมัติไปแล้ว จริงๆ อยากทำอะไรใหม่ๆ นะคะ แต่ไม่มีโอกาส เคยคุยกับนักแสดงรุ่นเดียวกันหลายคนก็เจอปัญหานี้
V: ได้คำตอบของเรื่องนี้ไหม
Y: แต่ละคนเลือกไม่เหมือนกันค่ะ บางคนปรึกษาครูสอนการแสดง บางคนเลือกไม่ทำอะไรเลย เพื่อรอสิ่งที่อยากทำ ส่วนเราตัดสินใจเปลี่ยนมายด์เซตของตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับว่าจะมองสถานการณ์นั้นอย่างไร ถึงแม้ว่าคาแร็กเตอร์จะคล้ายเดิม แต่เล่นไม่เหมือนเดิมก็ได้ สำคัญที่สุดคือเรารักงานนี้มากๆ แค่กลัวว่าจะทำอย่างไรให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง จริงๆ เพิ่งค้นพบอะไรใหม่จากหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ค่ะ (ยิ้มกว้าง) ชื่อ The Rainbow ของ D.H. Lawrence มีประโยคหนึ่งบอกว่าเราสามารถเกิดใหม่เมื่อไรก็ได้ พออ่านแล้วรู้สึกว่าใช่เลย เพราะทุกครั้งที่ถ่ายละครเรื่องหนึ่งจบ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น จู่ๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย! ทำไมเราถึงคิดเรื่องนี้ไม่เหมือนเมื่อ 5 วันที่แล้ว นั่นเพราะเราได้เรียนรู้ตัวเองผ่านตัวละครตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ทำให้รักอาชีพการแสดงมากๆ
V: ถ้าให้อธิบายชีวิตที่ผ่านมาของญาญ่าใน 1 ประโยค
Y: (นิ่งคิดพักหนึ่ง) สิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในหัวคงเป็นแนวสัญลักษณ์ค่ะ...ชีวิตเหมือนกับแม่น้ำ ส่วนเราคือน้ำ ซึ่งอาจจะไหลไปเจอก้อนหิน น้ำตก รุ้งกินน้ำ หรือพายุฝน แต่ถึงอย่างไรสายน้ำนี้ก็จะไหลต่อไปได้...ประมาณนั้นค่ะ (ยิ้มกว้าง)
ช่างภาพ : เอกรัชต์ อุบลศรี
สไตล์ไดเร็กเตอร์ : จิรัฏฐ์ ทรัพย์พิศาลกุล
นางแบบ : อุรัสยา เสปอร์บันด์
นายแบบ : ณเดชน์ คูกิมิยะ
แต่งหน้า : อลงกรณ์ สุนทรพจน์, ทัศนพงษ์ สวัสดิพงษ์
ทำผม : สันติพงศ์ ขวัญเซ่ง, นงนาถ บัวอำไพ
WATCH