SKINCARE

L-Ascorbic Acid สุดยอด Active Ingredient เพื่อ ‘ขั้นกว่า’ ของสกินแคร์วิตามินซี

หากต้องการสกินแคร์วิตามินซีที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเห็นผลชัดเจน ต้องเลือกสกินแคร์ที่มี L-Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient

     ปัจจุบันสกินแคร์วิตามินซีมีอยู่มากมายในท้องตลาด แต่สกินแคร์วิตามินซีแต่ละตัวต่างก็มี Active Ingredient (สารออกฤทธิ์ของวิตามินซีสังเคราะห์) ที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ L-Ascorbic Acid และกลุ่มอนุพันธ์วิตามินซี ซึ่งหากต้องการประสิทธิภาพจากสกินแคร์วิตามินซีมากที่สุด ควรเลือกสกินแคร์ที่มี L-Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สามารถทำงานได้ทันทีเมื่อสัมผัสกับผิว ในขณะที่กลุ่มอนุพันธ์วิตามินซีจะไม่สามารถทำงานได้ทันที แต่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็น Ascorbic Acid ก่อนจึงจะสามารถทำงานได้ (และไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนเป็น Ascorbic Acid ได้เต็มที่ 100%)

     การเลือกสกินแคร์วิตามินซีที่มี L-Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient สามารถดูได้จากส่วนผสมที่ระบุด้านหลังกล่อง ซึ่งจะระบุว่า Ascorbic Acid และควรมีความเข้มข้นอยู่ที่ 10%-20% (ถ้าต่ำกว่านี้จะได้ประสิทธิภาพไม่เต็มที่ แต่ถ้าสูงกว่านี้ก็จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองโดยที่ไม่ได้รับประโยชน์ของวิตามินซีเพิ่มแต่อย่างใด) ส่วนกลุ่มอนุพันธ์วิตามินซีนั้นอาจมีได้หลายชื่อ ขึ้นอยู่กับอนุพันธ์ที่ใช้ เช่น Ascorbyl Glucoside, Ethyl Ascorbic Acid, Ascorbyl Palmitate, Magnesium Ascorbyl Phosphate, Aminopropyl Ascorbyl Phosphate เป็นต้น

     อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ L-Ascorbic Acid จะออกฤทธิ์ได้ดีและมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีจุดอ่อนใหญ่ๆ อยู่ 2 จุดด้วยกัน นั่นคือ

1. ความคงทน

    L-Ascorbic Acid นั้นถือว่าเป็น Active Ingredient ที่มีความคงทนต่ำมาก สามารถเสื่อมสภาพได้อย่างง่ายดายหากสัมผัสกับแสง อากาศ และความร้อน ดังนั้นเราจึงมักเห็นว่าบรรจุภัณฑ์ของสกินแคร์ที่มี Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient จะเป็นแบบทึบแสงเพื่อปกป้องวิตามินซีที่อยู่ภายใน และต้องเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ทำให้บางครั้งมีการเพิ่มวิตามินอีเข้าไปในส่วนผสมเพื่อเพิ่มความคงทนของวิตามินซีให้มากขึ้น ในขณะที่กลุ่มอนุพันธ์วิตามินซีหลายตัวนั้นจะมีความคงทนมากกว่า (แต่ไม่ใช่ทุกตัว)

2. ค่า pH ที่เป็นกรด

     สกินแคร์ที่มี L-Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient นั้นจำเป็นต้องมีค่า pH ที่เป็นกรดอ่อนๆ จึงจะสามารถซึมลงสู่ผิวได้ นั่นทำให้สาวๆ ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย มีโอกาสที่จะเกิดการระคายเคือง (ในขณะที่สาวๆ ส่วนใหญ่อาจจะแค่รู้สึกคันยิบๆ บนผิวหน้าเท่านั้น) ในขณะที่กลุ่มอนุพันธ์วิตามินซีบางตัวแม้จะไม่มีค่า pH ที่เป็นกรดอ่อนๆ ก็ยังสามารถซึมลงสู่ผิวได้ (เพื่อไปเปลี่ยนตัวเองให้เป็น Ascorbic Acid ในขั้นตอนต่อไป)

     ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้สกินแคร์ส่วนใหญ่เลือกใช้อนุพันธ์วิตามินซีมากกว่า ส่วนสกินแคร์ที่มี Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient ซึ่งมีข้อจำกัดมากกว่าจะค่อนข้างหาได้ยากในท้องตลาด แต่สำหรับใครที่มั่นใจว่าสามารถรับมือกับรายละเอียดอันจุกจิกของ L-Ascorbic Acid ได้ เพื่อแลกกับประสิทธิภาพที่รวดเร็วและเห็นผลชัดเจนมากกว่า โว้กบิวตี้ก็มีกลุ่มสกินแคร์ที่มี Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient มาแนะนำ

Cerave Skin Renewing Vitamin C Serum

ราคา 950 บาท

Pixi Vitamin-C Lotion

ราคา 1,020 บาท

สนใจสั่งซื้อ : Sephora



WATCH



Melano CC Vitamin C Brightening Essence

ราคา 480 บาท

สนใจสั่งซื้อ : Shopee

La Roche-Posay Pure Vitamin C10 Serum

ราคา 1,425 บาท

La Roche-Posay Pure Vitamin C Light

ราคา 2,080 บาท

สนใจสั่งซื้อ : Lazada

It's Skin Power 10 Formula VC Effector [Advanced]

ราคา 850 บาท

สนใจสั่งซื้อ : Shopee

Target Pro Boosting Correct Skin Complexion Vitamin C10 Concentrated Serum

ราคา 1,200 บาท

     แต่ถ้าลองใช้สกินแคร์ที่มี Ascorbic Acid เป็น Active Ingredient แล้วรู้สึกระคายเคือง ก็สามารถเลือกใช้สกินแคร์ที่มีอนุพันธ์วิตามินซีเป็น Active Ingredient แทนได้ และยังมี Active Ingredient ที่ช่วยคืนความกระจ่างใสโดยไม่ง้อวิตามินซีให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน

ข้อมูล : The Derm Review, Healthline, Skintrends, พลิกหลังกล่อง

WATCH