WATCHES & JEWELLERY
ท่องไปในกาพย์กลอนแห่งกาลเวลากับ Van Cleef & Arpels ณ Watches & Wonders 2024The Poetry of Time คือคอนเซปต์หลักที่สรรสร้างผ่านความวิจิตรบรรจงก่อนจะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานเรือนเวลาเนี้ยบประณีต |
กาพย์กลอนแห่งกาลเวลาคือเส้นสายการดำเนินเรื่องในการนำเสนอนาฬิกาเรือนใหม่ในงาน Watches & Wonders 2024 ของแบรนด์ Van Cleef & Arpels การนำเสนอครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ชื่อ ‘The Poetry of Time’ ซึ่งถ่ายทอดมนต์เสน่ห์อันล้ำลึกของงานฝีมือเปรียบดั่งกลอนอันไพเราะสร้างสัมผัสอันล้ำลึกส่งต่อถึงผู้ชื่นชอบเรื่องนาฬิกาและงานฝีมือชั้นสูงอย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้สึกนี้สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสู่บูธของแบรนด์ ณ Palexpo เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นดั่งวิหารแห่งงานนาฬิกาของโลกสมัยใหม่
WATCH
เมื่อก้าวเข้าสู่บูธก็ได้สัมผัสการตกแต่งที่นำเสนอแสงสลัวยามค่ำคืนอันน่าค้นหาเข้าไปถึงห้องพิเศษสำหรับโปรแกรม Touch & Feel จะพบกับบรรยากาศการนำเสนอผ่านสื่อดิจิทัลและคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเรือนเวลาในคอลเล็กชั่น ‘Poetic Compilations’ จะปรากฏโฉมอยู่ตรงหน้า โดยเริ่มจาก Lady Arpels Jour Nuit และ Lady Jour Nuit เรือนเวลาแห่งช่วงเวลาประจำวันที่เหนือล้ำจินตนาการ ซึ่งรายละเอียดสำคัญคือหน้าปัดที่ขับเคลื่อนกลุ่มดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์บ่งบอกถึงช่วงเวลาในแต่ละวันอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเข็มบอกเวลาที่พร้อมทำหน้าที่ตามแบบฉบับดั้งเดิมอย่างแม่นยำ ตัวเรือนโดดเด่นด้วยการประดับเพชรแบบ ‘Snow-Setting’ สะท้อนความระยิบระยับเมื่อแสงตกกระทบ มาพร้อมกลไกการหมุนวนด้วยวัสดุอะเวนจูรีน ซึ่งเมซงหยิบยกแรงบันดาลใจจากนาฬิการุ่นเดียวกันนี้ที่ถูกนำเสนอครั้งแรกในปี 2008 ก่อนจะตีความและรังสรรค์ขึ้นอีกครั้งในรูปแบบปัจจุบัน โดยรายละเอียดสำคัญคืองานฝีมือบนหน้าปัด Lady Arpels Jour Nuit ที่ทำจากวัสดุ ‘Mother-of-pearl’ ลงรายละเอียดเป็นลายเส้นคล้ายพัดเล่นกับแสงเงาอย่างมีมิติ ในอีกด้านหนึ่งกับ Lady Jour Nuit ที่มาพร้อมแผ่นเปลือกหอยมุกที่ใช้เทคนิคกีโยเช่สร้างสรรค์ออกมาเป็นลวดลายฉากสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาในขนาดหน้าปัด 38 มม. และ 33 มม. ตามลำดับ
ในคอลเล็กชั่น ‘Poetic Compilations’ นั้นยังมีเรือนเวลาอันโดดเด่นที่ปรากฏโฉมต่อจากนาฬิกา 2 เรือนที่สะกดตาไปแล้วเรียบร้อย นั่นคือนาฬิกา Lady Arpels Brise d’Été ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของความสดชื่นยามเช้าในช่วงฤดูร้อน ซึ่งถูกนำเสนอผ่านคอนเซปต์การผลิบานของพันธุ์ไม้ในสวนของเมซง ลักษณะเด่นสำคัญคือเข็มบอกเวลาถูกแปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อที่รังสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิค ‘plique-à-jour’ หรือการทำอีนาเมลแบบลงลายฉลุ เพิ่มมิติการเล่นกับแสงได้อย่างล้ำลึก ตัวเรือนประดับเพชร กลีบดอกไม้ด้านในมาพร้อมเทคนิค ‘vallonné’ หรือการลงยาลายนูน ก่อนจะถูกนำมาวางซ้อนเรียงกันและชิ้นส่วนแต่ละชิ้นก็ถูกวาดลวดลายผ่านเทคนิคการเพนต์อีนาเมลขนาดจิ๋วจนเกิดเป็นลวดลายแสนประณีต พื้นหลังหน้าปัดทำจากวัสดุ ‘Mother-of-pearl’ นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิค ‘champlevé’ เพื่อสร้างมิติให้กับดอกไม้ การเดินไปของเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนนี้จึงเปี่ยมไปด้วยความงดงาม และความพิเศษก็แอบซ่อนด้วยปุ่มกลไกบริเวณตำแหน่งหมายเลข 8 ที่เมื่อกดลงไปผีเสื้อจะบินวนรอบพร้อมกับดอกไม้ที่พลิ้วไหวราวกับมีชีวิต ก่อนจะกลับสู่ตำแหน่งเวลาเดิมอย่างสมบูรณ์
เมื่อจบการนำเสนอคอลเล็กชั่น ‘Poetic Compilations’ การเผยโฉมนาฬิกาจากคอลเล็กชั่น ‘The Extraordinary Dials’ ก็เริ่มขึ้นพร้อมกับการปรากฏโฉมความงดงามของเรือนเวลา Lady Arpels Jour Enchanté ขนาด 41 มม. คำว่า ‘Jour’ อันหมายถึงช่วงเวลากลางวันถูกตีความและสร้างสรรค์ผ่านความชำนาญด้านงานจิวเวลรีผสมผสานกับนาฬิกาไว้ด้วยกัน รายละเอียดดอกไม้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นพร้อมกับการสาดส่องของแสงจากดวงอาทิตย์ เมื่อบรรยากาศในห้องมืดลงไฟสปอตไลต์ที่ส่องสว่างแสดงให้เห็นหน้าปัดที่เปี่ยมไปด้วยการจัดวางเลเยอร์ซ้อนกันแบบ 3 มิติ โดยชิ้นงานแต่ละชิ้นผ่านการรังสรรค์ด้วยเทคนิคขึ้นรูป 3 มิติหรือ ‘façonné’ และหน้าปัดทองคำขาวกับเทคนิค ‘plique-à-jour’ ซึ่งทั้งหมดถูกผสมผสานจนเกิดเป็นหน้าปัดที่เป็นดั่งงานศิลปะอันมีชีวิตผ่านอิริยาบถของนางฟ้าที่กำลังบินล่องเก็บดอกไม้ และที่ขาดไม่ได้คือดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างด้วยวัสดุสเปสซาร์ไทต์ แซปไฟร์ และเพชร รวมถึงการตกแต่งรายละเอียดด้วยเยลโลว์โกลด์ โดยนาฬิการุ่นนี้ใช้เวลาการพัฒนา 2 ปี และหน้าปัดแต่ละชิ้นต้องใช้เวลาในการรังสรรค์นานกว่า 180 ชั่วโมง
ความพิเศษของเรือนเวลาหน้าปัดแสนพิเศษของเมซงยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะเมื่อมีกลางวันต้องมีกลางวัน Lady Arpels Nuit Enchanté จึงปรากฏโฉมขึ้นอย่างโดดเด่นด้วยโทนสีม่วง จากอิริยาบถการเก็บดอกไม้อันมีชีวิตชีวาสู่การนอนหลับพักผ่อนท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ของนางฟ้าประจำเมซง ฉากส่องสว่างจากแสงจันทร์และโทนสีน้ำเงินมุมซ้ายเผยให้เห็นถึงช่วงเวลากลางคืน โดยหน้าปัดบอกเวลาทำจากวัสดุร็อกคริสตัลพร้อมตำแหน่งและเข็มบอกเวลาโรสโกลด์ ดอกไม้ยังคงยึดถือเทคนิค ‘façonné’ พร้อมอีนาเมลสีม่วงและแซปไฟร์สีเหลืองเนี้ยบประณีตเช่นเดียวกับเรือนเวลายามแสงอาทิตย์สาดส่อง มาพร้อมเทคนิคการประดับเพชรรอบตัวเรือน การรังสรรค์รายละเอียดบนหน้าปัดโดยรอบด้วยเทคนิค ‘plique-à-jour’ เช่นเดียวกัน สะท้อนภาพความงดงามผ่านงานฝีมือชั้นครูที่นำเสนอสอดประสานไปกับคอนเซปต์ของเวลาผ่านช่วงกลางวันและกลางคืนที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ของเมซงโดยแท้จริง
หลังจากอิ่มเอมกับชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซในรูปแบบของนาฬิกาข้อมือ สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเมซงอันเลื่องชื่อแห่งนี้คือการสัมผัสประสบการณ์ชื่นชมชิ้นงานจากคอลเล็กชั่น ‘The Extraordinary Objects’ ที่เปี่ยมไปด้วยความสลับซับซ้อนและกลไกการเคลื่อนไหวอันน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความประทับใจแรกเมื่อผลงาน Apparition des Baies คลี่ใบออกเผยให้เห็นนกหรูหราตัวน้อยปรากฏโฉมขึ้นภายในพุ่มใบกระวานโรสโกลด์วางซ้อนเรียงรายกว่า 112 เลเยอร์ ห่อหุ้มนกวัสดุไวต์โกลด์ ประดับตกแต่งด้วยเพชรและแซปไฟร์ทั่วทั้งลำตัวและปีกมาพร้อมท่วงทำนองไพเราะคลอความงดงามก่อนที่นกตัวนี้จะลดระดับและถูกปกคลุมด้วยใบกระวานอีกครั้ง ฐานหลักของผลงานเป็นเลเยอร์แจสเปอร์ลายจุดและฐานรองพุ่มใบกระวานทำจากวัสดุธูไลต์ ทั้งหมดถูกเลือกสรรอย่างบรรจงจากนักอัญมณีศาสตร์ของเมซง และที่ขาดไม่ได้คือตัวเลขการบอกเวลาที่หมุนเวียนอย่างงดงามด้วยโทนสีแดงสลับทอง
ปิดท้ายด้วย Bouton d’Or ที่นำเสนอลวดลาย ‘pailette’ โมทีฟประจำแบรนด์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงกลางยุค 1930s ชวนให้นึกถึงรายละเอียดของเลื่อมในงานระดับกูตูร์ มันถูกตีความและสร้างสรรค์ขึ้นเป็นบูเกต์ทอง ฐานโทนสีม่วงและชมพูทำจากวัสดุธูไลต์ ซึ่งโทนสีสอดคล้องกับตำแหน่งการบอกเวลา เมื่อหมุนกลไกสร้างการเคลื่อนไหวจะเห็นว่านางฟ้าด้านบนปรากฏโฉมขึ้นอย่างโดดเด่นกับหน้าตาสวยสดด้วยเพชรเจียระไนแบบ rose-cut พร้อมมงกุฎเพชรเติมความหรูหรา ชุดเดรสโรสโกลด์ตัดกับแล็กเกอร์สีน้ำเงิน มาพร้อมการท่าทางการขยับเขยื้อนดั่งการขยับจังหวะเต้นด้วยปลายเท้าหรือ ‘pirouettes’ ปีกรังสรรค์ด้วยเทคนิค ‘plique-à-jour’ เผยความงามแบบโปร่งแสง และบริเวณมือประดับเพชรเจียระไนแบบ briolette-cut ความพิเศษของชิ้นงานนี้อีกสิ่งหนึ่งคือกลไกด้านในอัดแน่นด้วยส่วนประกอบ ‘myriad gold’ ที่บรรจงจัดวางอย่างวิจิตรบรรจง อีกทั้งต้องขัดเพื่อสร้างความเว้าโค้งในสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งทั้งหมดมีจำนวนมากกว่า 684 ชิ้น นับว่าเป็นผลงานสุดพิเศษที่เผยให้เห็นการท่องโลกแห่งความสวยงามผ่านความพลิ้วไหวอันเป็นดั่งไฮไลต์ของเมซงเสมอมา
หลังจากจบการสัมผัสประสบการณ์ ณ บูธของแบรนด์ การก้าวเท้าเดินออกมาทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินออกจากโลกแห่งความฝันอย่างไรอย่างนั้น เพราะด้านในด้วยบรรยากาศการจัดแสดง ความพิเศษของเรือนเวลาทั้งในรูปแบบของนาฬิกาข้อมือสำหรับสวมใส่ และผลงานฝีมือ ‘automaton’ สร้างห้วงอารมณ์เหมือนกำลังท่องไปในกาพย์กลอนแห่งกาลเวลาตามชื่อคอนเซปต์ ‘The Poetry of Time’ ซึ่งสะท้อนผ่าน Métiers d’Art และความเชี่ยวชาญทุกด้านกว่าจะออกมาเป็นผลงานประจำปีที่ใครได้สัมผัสจะไม่มีทางลืมเลือนอย่างแน่นอน
WATCH