WATCHES & JEWELLERY
เผยโฉมเรือนเวลา Van Cleef & Arpels ที่แสดงถึงทักษะชั้นเลิศของงานฝีมือชั้นครูและแนวคิดศิลปะน่าทึ่ง!ทั้งหมดนี้ตอกย้ำคุณค่าของ Poetry of Time ว่าไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบอกเวลาที่นำเสนอความงามและกลไกอันยอดเยี่ยม แต่ยังเป็นผลรวมของความทุ่มเทใส่ใจและงานฝีมือชั้นครูอันไร้ที่ติที่สร้างความสำเร็จให้ Van Cleef & Arpels ทั้งยังสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน |
ความอัศจรรย์ของเครื่องบอกเวลาที่แสดงถึงทักษะชั้นเลิศของงานฝีมือชั้นครูและแนวคิดด้านศิลปะ อันมีจุดเด่นอยู่ที่หน้าปัดสุดแสนวิจิตรดุจดังละครโรงเล็กที่จัดแสดงบทกวีอันไพเราะสวยงาม ผ่านงานหัตถศิลป์และนวัตกรรมกลไกแห่งเวลาอันยอดเยี่ยม ผลงานอันน่าทึ่งของ Van Cleef & Arpels
หากพูดถึงเครื่องบอกเวลา หลายคนอาจนึกถึงนวัตกรรมกลไกอันล้ำเลิศ แต่นั่นไม่ใช่หัวใจสำคัญที่แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์ต้องการนำเสนอ เพราะเครื่องบอกเวลาอันงดงามของแบรนด์คือการได้เล่าถึงความมหัศจรรย์ของหัตถศิลป์ที่มีการส่งมอบมรดกสืบต่อกันมา ไม่เพียงแค่นั้น เมซงยังตอกย้ำพรสวรรค์ด้านงานศิลปะของทีมศิลปินผู้สร้างสรรค์เรื่องราวบนนาฬิกาในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นการถ่ายทอดวิสัยทัศน์และค่านิยมของเมซงที่มีมายาวนาน “เราต้องการส่งต่อความงดงามอันหาที่เปรียบมิได้บนหน้าปัดของนาฬิกาแต่ละเรือน” Pascal Narbeburu, Timepiece Director ของแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์เล่าให้โว้กประเทศไทยฟังเมื่อครั้งไปเยี่ยมชมห้องทำงานหัตถศิลป์ของเมซงในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ “ความน่าประทับใจคือคุณสามารถดำดิ่งไปกับเรื่องราวบนหน้าปัดในมุมมองแบบสามมิติเพื่อท่องเที่ยวไปในจักรวาลของแวนคลีฟ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ความสร้างสรรค์ของเราแตกต่าง” ปัสกาลบอกว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากการเล่าเรื่อง “การทำงานของทีมงานของผมคือแต่ละปีเราจะเฟ้นหาเรื่องราวใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าของเรา โดยอาจเลือกมาสัก 3-4 เรื่องเพื่อนำไปเสนอ Nicolas Bos ประธานและซีอีโอ พอเขาเลือกเรื่องแล้ว เราจะส่งต่อให้ทีมดีไซน์นำไปตีความ จากนั้นเราจะได้รับภาพสเกตช์เพื่อนำมาทำงานต่อ” ฟังดูเหมือนง่าย แต่ปัสกาลบอกว่าการพัฒนาเรื่องราวแต่ละเรื่องให้ออกมาเป็นบทกวีบนนาฬิกาอย่างสมบูรณ์แบบนั้นใช้เวลาประมาณ 3-6 ปี แล้วจึงนำไปพัฒนาด้านกลไก วัสดุ และเทคนิคต่างๆ เพื่อทำให้เรื่องราวเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมา “บางทีเราก็ต้องออกจากรูปแบบเดิมๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบ”
ย้อนกลับไปในปี 2006 เครื่องบอกเวลาเรือนแรกในคอลเล็กชั่น Poetry of Time หรือ “บทกวีบอกเวลา” ได้นำมาเสนอให้ลูกค้าคนพิเศษของเมซงในงาน Watches & Wonder แม้เมซงจะให้ความสำคัญเรื่องนวัตกรรมกลไกและพัฒนาให้ล้ำสมัยอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่อยากนำเสนอ “กลไกที่ซับซ้อนไม่ใช่เรื่องที่เราจะนำมาบอกลูกค้า” ปัสกาลย้ำกับเรา “เราอยากพูดถึงบทสนทนาที่บอกเล่าเป็นภาษาอันงดงาม รังสรรค์ออกมาเป็นบทกวีที่มีชีวิต ซึ่งแม้ว่าจะทำได้ยาก แต่เราก็อยากให้ลูกค้าของเราได้สัมผัสความรู้สึกอันงดงามนั้น” เขาเปรียบเปรยว่าเหมือนเรานั่งอยู่ในโรงละครและดื่มด่ำกับการแสดงอันน่าทึ่งตรงหน้า ไม่จำเป็นต้องสนใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังม่านนั้น “เราอยากส่งมอบอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องของกลไกซึ่งเรารู้ดีว่าเราไม่เป็นรองใคร เพราะเรามีความสามารถในการพัฒนาเรื่องนี้อย่างดีเยี่ยมตลอดสิบปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมซงมีนวัตกรรมกลไกที่ดีเลิศที่สุด ถึงอย่างนั้นเราก็ยังอยากนำเสนอความวิจิตรงดงามด้านงานฝีมือมากกว่า”
งานฝีมือที่เขาพูดถึงคือการผสมผสานงานหัตถศิลป์หลากหลายแขนงโดยเมซงเน้นเรื่องการพัฒนางานฝีมือที่เป็นการสืบทอดจากรุ่นก่อนๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของเมซง ไม่ว่าจะเป็นงานลงยา จิตรกรรมย่อส่วน งานสลักแผ่นแม่มุก (Mother of pearl) หรือแม้กระทั่งการฝังรัตนชาติปูลาย ทักษะเหล่านี้ต้องมีการฝึกฝนมาอย่างดีเพราะต้องนำมาประกอบอยู่บนหน้าปัดเล็กจิ๋ว แม้จะมีความเชี่ยวชาญขั้นสูง แต่การสร้างสรรค์ชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซก็มีความท้าทายไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนากลไกควบคู่ไปกับงานดีไซน์ที่เป็นศิลปะการเล่าเรื่อง ในฐานะผู้ควบคุมดูแลด้านนาฬิกา ปัสกาลจึงเข้าใจกระบวนการทำงานในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างดีว่าต้องใช้ความประณีตละเอียดอ่อนเพียงใด ยิ่งการตกแต่งงานศิลป์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วบนหน้าปัดนาฬิกาด้วยแล้ว “จริงๆ แล้วมีความท้าทายอยู่ในทุกกระบวนการ เพราะเราเริ่มต้นจากการเล่าเรื่อง ดังนั้น การบอกเวลาของเราจึงต้องเล่าผ่านสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกของนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่บนหน้าปัด ความลึกของหน้าปัดที่ต้องคำนวณขนาดให้พอดีที่จะทำเป็นรูปแบบสามมิติ หรือขนาดที่ค่อนข้างเล็กมากซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด เพราะเราทำหลายเลเยอร์ และแต่ละเลเยอร์ก็ต้องเล็กบางมากพอที่จะใส่วัสดุต่างๆ เข้าไป สร้างสรรค์ออกมาเป็นเรื่องราวที่เราอยากเล่า นี่ยังไม่รวมเรื่องของกลไกและการเก็บทุกอย่างเป็นความลับ”
WATCH
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของการทำงานระหว่างสองศาสตร์ที่ปัสกาลให้เครดิตทีมงานของเขาว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะทำความเข้าใจกัน “เราใช้อัญมณีและเทคนิคต่างๆ มาประดับหน้าปัด ขณะเดียวกัน กลไกและวงโคจรของนาฬิกาก็ต้องคิดค้นให้สอดประสานกันด้วย เราจึงทำงานร่วมกันระหว่างทีมวิศวกรและทีมศิลปินของผมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์เองก็ซับซ้อน ในขณะที่การเลือกรัตนชาติและการใช้สีสันต่างๆ ก็ต้องงดงามสมจริง ตัวอย่างเช่น นาฬิการุ่น Lady Arpels Brise D’Ete ที่มีผีเสื้อบิน เราใช้เวลาถึง 4 ปีในการพัฒนากลไกเพื่อให้ผีเสื้อเคลื่อนไหวได้เหมือนจริงที่สุด” เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะนาฬิกาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากทุ่งดอกไม้ในฤดูร้อนรุ่นที่ว่า ดอกไม้และผีเสื้อบนหน้าปัดนั้นเคลื่อนไหวอย่างงดงามสมจริงที่สุด
ทั้งหมดนี้ตอกย้ำคุณค่าของ Poetry of Time ว่าไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบอกเวลาที่นำเสนอความงามและกลไกอันยอดเยี่ยม แต่ยังเป็นผลรวมของความทุ่มเทใส่ใจและงานฝีมือชั้นครูอันไร้ที่ติที่สร้างความสำเร็จให้แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์ ทั้งยังสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน
ภาพ : Courtesy of Van Cleef & Arpels
WATCH