Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

Bvlgari เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี นาฬิกา Bvlgari Bvlgari ด้วยเรือนเวลาหน้าปัดหินอ่อน

Bvlgari Bvlgari ถือเป็นนาฬิการุ่นซิกเนเจอร์ที่เบิกทางให้ Bvlgari เข้าสู่แวดวงนาฬิกาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเดินทางมาถึงขวบปีที่ 50 ในปี 2025

โดย Nattanam Waiyahong
14 สิงหาคม 2568

     การเฉลิมฉลองในปี 2025 ของวงการนาฬิกายังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ระดับแถวหน้าล้วนสรรสร้างความเรือนเวลาที่น่าสนใจในวาระครบรอบสำคัญต่างๆ ตามอายุของเมซงหรือเรือนเวลารุ่นไอคอนิก ซึ่งปีนี้มีแบรนด์มากมายที่ถือโอกาสนำเสนอความยอดเยี่ยมผ่านวาระครบรอบกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Audemars Piguet (150 ปี), Vacheron Constantin (270 ปี), Zenith (160 ปี) หรือจะเป็นการเฉลิมฉลองนาฬิการุ่นพิเศษอย่าง Big Bang จาก Hublot (25 ปี) และ J12 จาก Chanel (25 ปี) เป็นต้น

     Bvlgari ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ในวาระครบรอบเช่นเดียวกันในปีนี้ โดยเป็นการฉลองความสำเร็จของนาฬิกา Bvlgari Bvlgari ที่เปิดตัวในปี 1975 และมีอายุครบ 50 ปีในปี 2025 พอดิบพอดี ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ถือเป็นใบเบิกทางสำคัญของเมซงให้ก้าวเข้าสู่แวดวงนาฬิกาพร้อมคลุกเคล้ามนต์เสน่ห์ของการรังสรรค์เรือนเวลาเข้ากับมิติความยอดเยี่ยมด้านจิวเวลรี ที่เรื่มต้นจากการสร้างสรรค์ชิ้นงานสุดพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญสำหรับลูกค้าคนพิเศษในโอกาสเปิดบูติก ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะเปิดตัวสู่สาธารณะในปีที่กล่าวไปข้างต้น

     หลังจากเปิดตัวไปเพียง 2 ปี แบรนด์ได้ร่วมงานกับ Gérald Genta และแปลงโฉมดีไซน์ของนาฬิกา Bvlgari Bvlgari สู่การเป็นนาฬิกาซิกเนเจอร์เรือนแรกของเมซงอย่างเต็มภาคภูมิ หลังจากนั้นก็กลายเป็นนาฬิกาไอคอนิกแห่งวงการที่รังสรรค์จากเมซงจิวเวลรีระดับแถวหน้าของโลกอย่างที่ทุกคนทราบกัน ปีนี้เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี จึงมีการรังสรรค์เรือนเวลาหน้าปัดหินอ่อนสุดพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จ โดยเปิดตัวด้วยตัวเลือกขนาดหน้าปัด 2 รูปแบบคือ 26 และ 38 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับการสวมใส่ของทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี

     ไฮไลต์สำคัญคือนาฬิกาหน้าปัดหินอ่อนสีเขียว “Verde Alpi” ที่เปิดตัวมาสำหรับหน้าปัด 2 ขนาด นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกหน้าปัดหินอ่อนสีน้ำเงินเข้ม “Blu Incanto” สำหรับขนาดหน้าปัด 38 มิลลิเมตร และหน้าปัดหินอ่อนสีฟ้าอ่อน “Azzurro Infinito” สำหรับหน้าปัดขนาด 26 มิลลิเมตร ซึ่งเรือนขนาดเล็กมีจุดเด่นสำคัญคือหลักเวลาประดับเพชร ในขณะที่จุดเด่นของเรือนขนาดใหญ่คือกลไก Solotempo และ caliber BVL 191 ทรงประสิทธิภาพที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 42 ชั่วโมง

     จุดเด่นสำคัญของเรือนเวลารุ่นนี้คือเทคนิคการแกะสลักเหรียญบริเวณเบเซลที่ถูกคิดค้นและใช้งานมาตั้งแต่ปี 1934 และกลายเป็นเอกลักษณ์ของงานนาฬิกาและจิวเวลรีของเมซงเสมอมา มากไปกว่านั้นด้วยองค์ประกอบความสวยงามรูปแบบต่างๆ ยังสะท้อนถึงนิยามความเป็นอมตะของกรุงโรมผ่านสถาปัตยกรรมความสวยงามและมนต์เสน่ห์ที่บุลการีตั้งใจนำเสนอและถ่ายทอดให้ทุกคนได้สัมผัสมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เบื้องต้นนาฬิกาหน้าปัดหินอ่อนสีเขียวทั้ง 2 ขนาดถือเป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ผลิตจำกัดเพียง 150 เรือนเท่านั้น ส่วนสีน้ำเงินและสีฟ้าไม่มีการระบุจำนวนจำกัด หากใครเป็นสาวกนาฬิกาพันธุ์แท้ นี่คืออีกหนึ่งหมุดบันทึกทางประวัติศาสตร์สำคัญที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง


(สามารถอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมกับน Bvlgari ได้กับบทความ BVLGARI เปิดตัวนิทรรศการ 'Beyond Time' สัมผัสประสบการณ์เรือนเวลาแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ณ ประเทศสิงคโปร์)