VOGUE SHOPPING
5 เครื่องฟอกอากาศรับมือฝุ่น PM 2.5 ปัญหามลภาวะที่กลับมาทุกต้นปีเมื่อฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นปัญหาประจำฤดูกาล เครื่องฟอกอากาศจึงเป็นไอเท็มสำคัญที่ควรค่าแก่การลงทุน |
“ฝุ่น PM 2.5” ได้กลายมาเป็นปัญหาประจำฤดูกาลที่วนเวียนมาทักทายคนไทยในช่วงต้นปีของทุกๆ ปี และมีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ในชีวิตเราต่อไปอีกนาน ซึ่งปีนี้ฝุ่น PM 2.5 ก็กำลังมาเยือนเราอีกครั้ง จะเห็นได้ว่ามีฝุ่นหนาทึบในตอนเช้าและหากเปิดแอปพลิเคชั่นเช็คสภาพอากาศก็จะพบว่าคุณภาพอากาศเข้าโซนสีเหลือง สีส้ม และถึงขั้นโซนสีแดงในบางพื้นที่ ดังนั้นนี่อาจเป็นสัญญาณว่า “เครื่องฟอกอากาศ” คือไอเท็มจำเป็นที่ต้องมีติดบ้านเพื่อรับมือกับปัญหาทั้งในปีนี้และปีถัดๆ ไป เพื่อให้เรามีอากาศบริสุทธิ์อยู่เสมอแม้ว่าฝุ่น PM 2.5 จะวนกลับมาอีกกี่ครั้งก็ตาม
เครื่องฟอกอากาศที่ได้รับความนิยมและพบเห็นได้ทั่วไปในท้องตลาดมีอยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องฟอกอากาศชนิดแผ่นกรอง (Air Filter) ที่ทำงานโดยดูดอากาศภายในห้องผ่านแผ่นกรองที่ติดตั้งไว้ด้านในเครื่องเพื่อกรองฝุ่น เชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ และอื่นๆ แผ่นกรองที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือแผ่นกรองชนิด High Efficiency Particulate Air หรือที่รู้จักกันในชื่อ HEPA Filter ซึ่งเป็นแผ่นกรองที่ผลิตจากใยแก้วนำแสงทำให้มีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นได้ดีมากแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอนก็ตาม เครื่องฟอกอากาศชนิดนี้ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองเมื่อครบอายุการใช้งาน ส่วนอีกชนิดคือ เครื่องฟอกอากาศชนิดไอออน (Electrostatic Precipitator) ที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าสถิต โดยปล่อยประจุลบออกมาเพื่อดักจับฝุ่นหรืออนุภาคที่มีประจุบวกให้จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เมื่อจับตัวกันก็จะทำให้มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นและตกลงบนพื้น ไม่ลอยฟุ้งกระจายในอากาศ ซึ่งควรใช้งานร่วมกับการดูดฝุ่นและถูพื้นเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกไป
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศคือขนาดพื้นที่ใช้สอยของห้อง เพื่อให้เครื่องฟอกอากาศสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขอแนะนำให้เลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับขนาดของห้องด้วย ในกรณีที่เป็นห้องขนาดใหญ่แต่ใช้เครื่องฟอกอากาศสำหรับห้องขนาดเล็กจะทำให้ใช้เวลาในการกรองอากาศนานขึ้น และอาจทำให้กรองได้ไม่ทั่วถึง
เครื่องฟอกอากาศขนาดกะทัดรัดสำหรับห้องขนาด 20-26 ตารางเมตร มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นละอองและชุดกรองแนวตั้งที่ทำให้สามารถกรองอากาศได้ 360 องศา และสามารถฟอกอากาศได้ 203 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง โดยแผ่นกรองที่ใช้เป็น HEPA Filter ชนิด Anti-Bacteria ทำให้นอกจากกรองฝุ่น PM 2.5 ได้แล้วยังสามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ถึง 99% อีกทั้งยังมี Activated Carbon ช่วยจัดการกับกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย
แม้จะต้องรับมือกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 แต่ปัญหาไวรัสก็ยังไม่หมดไป ดังนั้น Daikin จึงออกแบบเครื่องฟอกอากาศระบบ Streamer ที่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และสารก่อภูมิแพ้ได้ และจากผลการทดสอบของมหาวิทยาลัยโตเกียวยังพบว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยรับมือกับโคโรน่าไวรัสได้ถึง 99% มาพร้อม HEPA Filter ที่สามารถจัดการฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าฝุ่นที่มีความละเอียดถึง 6 ระดับ ทำงานครอบคลุมพื้นที่ไม่เกิน 31 ตารางเมตร
WATCH
สำหรับขนาดห้องไม่เกิน 44 ตารางเมตร เครื่องฟอกอากาศเครื่องนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยแผ่นกรองถึง 3 ชั้น ที่สามารถกรองได้ทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์และกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 99% ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโหมดการทำงานให้เลือกถึง 3 โหมดตามความเหมาะสม และคุณสมบัติการปรับแรงลมถึง 5 ระดับ พร้อมฟังก์ชั่น IONIZER เพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้ทั่วถึงทุกมุมห้อง
เครื่องฟอกอากาศจากเจ้าแห่งนวัตกรรมสมาร์ทโฮมที่มีหลากหลายขนาด โดยรุ่นนี้ครอบคลุมพื้นที่ 72 ตารางเมตร ใช้แผ่นกรอง HEPA Filter จำนวน 3 ชั้นที่กรองได้ทั้งฝุ่น PM 2.5 สปอร์ของเชื้อรา ขนสัตว์ ไวรัส ละอองเกสร และสารก่อภูมิแพ้ โดยสามารถฟอกอากาศได้ถึง 250 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง มาพร้อมหน้าจอสัมผัส OLED และคุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นเพื่อตอบโจทย์การเป็นสมาร์ทโฮมอย่างสมบูรณ์แบบ
หมดปัญหาเรื่องเครื่องฟอกอากาศสำหรับห้องขนาดใหญ่ด้วยเครื่องฟอกอากาศจาก Philips ที่รองรับพื้นที่ขนาดสูงสุด 98 ตารางเมตร ใช้การกรอง 3 ชั้นด้วยแผ่นกรอง HEPA Filter และผงถ่านกัมมันต์ ทำให้สามารถกรองได้ละเอียดถึง 0.003 ไมครอน (ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กกว่าฝุ่น PM 2.5 ถึง 800 เท่า และเล็กกว่าไวรัส) จึงปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 ไวรัส แบคทีเรีย ละอองเกสร ฝุ่น ขนสัตว์ ก๊าซและมลพิษอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถสั่งการผ่านแอปพลิเคชั่นและเช็คสถานะแผ่นกรองได้อีกด้วย
WATCH