Vogue Thailand

RUNWAY

เจาะลึกเด็กหัวรั้นคนใหม่แห่ง Jean Paul Gaultier กับคอลเล็กชั่นเดบิวต์ช็อกวงการ

Jean Paul Gaultier เปิดตัวคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2026 ด้วยพลังความ “แปลก กล้า และบ้า” ที่รื้อฟื้นจิตวิญญาณขบถของแบรนด์ในยุคใหม่ พร้อมชุบชีวิตแฟชั่นใต้ดินให้กลับมามีเสียงอีกครั้ง

โดย Ausadawut Virangkul
07 ตุลาคม 2568

     การแต่งตั้ง Duran Lantink ขึ้นเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนใหม่ของ Jean Paul Gaultier ถือเป็นการยุติยุค ‘ดีไซเนอร์หมุนเวียน‘ ที่เคยสร้างสีสัน แต่ขาดความต่อเนื่องมานานกว่า 5 ปี และนับเป็นหนึ่งในการเปิดศักราชใหม่ที่น่าจับตาที่สุดของวงการแฟชั่น โดย Duran Lantink ผู้ถูกขนานนามจากผู้ก่อตั้งแบรนด์ว่าเป็น ‘Enfant Terrible‘ หรือเด็กหัวรั้นคนใหม่ ที่จะมาสืบทอดจิตวิญญาณความขบถ ด้วยพื้นฐานอันแข็งแกร่งจากการสร้างแบรนด์ของตนเองในปี 2016 ในแนวคิด Upcycling ที่พลิกโฉมวัสดุเหลือใช้ให้กลายเป็นผลงานชั้นสูง จนคว้ารางวัลใหญ่มากมาย อาทิ Andam Special Prize และ LVMH Prize Karl Lagerfeld Award ด้วยสไตล์อันโดดเด่นอย่าง โครงสร้างที่เกินจริง และดีไซน์ท้าทาย ในช่วงที่แฟชั่นส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งการเข้ามาคุมบังเหียนทั้งไลน์ Hatue-Couture และการคืนชีพไลน์ Ready-to-Wear ที่หยุดไป ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่า Jean Paul Gaultier ไม่ได้ต้องการแค่ความสวยงาม แต่ต้องการพลังสร้างสรรค์ที่ ’กล้าที่จะแตกต่าง’ เพื่อสั่นสะเทือนวงการให้เปลี่ยนวิธีมองแฟชั่นอีกครั้ง

     โดย Duran Lantink หยิบยกแนวคิด ‘Dial-A-Poem‘ ของ John Giorno มาเป็นกิมมิกในการเปิดตัวคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 นี้ ที่สะท้อนปรัชญา Anti-Establishment ของทั้งสองฝั่ง ทั้ง Giorno ผู้ปลดปล่อยบทกวี จากหน้ากระดาษสู่เสียงโทรศัพท์ และ JPG ผู้ปลดปล่อยแฟชั่นจากรันเวย์สู่ท้องถนน ผ่านข้อความ “Pick up the phone, stop staring at the feed, dial a number, and hear a poem” ที่ไม่เพียงเชิญชวนให้ผู้คนตัดขาดจากความรวดเร็วของโลกโซเชียล แต่ยังเป็นการประกาศว่าเสื้อผ้าในคอลเล็กชั่นนี้จะนำเสนอเสียง และอัตลักษณ์ของผู้คนจากวัฒนธรรมใต้ดิน กลับสู่กระแสหลักอย่างกล้าหาญ ผ่านการตีความรหัสแฟชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง

     เมื่อดำดิ่งสู่รันเวย์ใต้ดินของ Musée du quai Branly ที่กลายเป็นอุโมงค์แห่งความท้าทาย Duran Lantink ไม่ได้เพียงแค่รำลึกอดีต แต่ฉีกกระฉากมรดกของเมซง ด้วยการนำไอเท็มชิ้นไอคอนิกอย่าง เสื้อลายขวาง Marinière, เสื้อตาข่าย Tatouage และบรากรวย มาบิดเบือนจนกลายเป็นงานศิลปะจัดวางบนเรือนร่าง ที่ชุดส่วนใหญ่เน้นการเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งจนน่าตกใจไม่ว่าจะเป็น บอดี้สูทที่ใช้ผ้าเพียงสองแถบยึดตึงจากเข็มขัด หรือชุดที่เว้าแหว่งจนเหลือเพียงโครงสร้างเรขาคณิต

     เมื่อดูไปนานๆ และซูมรายละเอียดดีเทลใกล้ๆ กลับทำให้ผู้เขียนฉุดคิดว่า “หรือความงามที่แท้จริง...คือความพิสดาร" ที่ JPG นำเสนอได้อย่างแสบสันต์ ท่ามกลางความน่าจำเจของโลกแฟชั่นที่พยายามผลักดันความเรียบง่าย และรื้อฟื้นมรดกทรงคุณค่า แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยรายละเอียดที่จงใจให้ขัดแย้งและยั่วโมโหเหล่าสาวกอย่าง แว่นกันแดดทรงสปอร์ตที่ดูเหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟ ไปจนถึงสร้อยคอขนาดใหญ่ คล้ายเครื่องรางจากชนเผ่าที่ถูกนำมาสวมทับเดรสสีขาวบริสุทธิ์ ที่ทุกองค์ประกอบดูเหมือนตั้งคำถามว่า "แฟชั่นที่ดีต้องสมบูรณ์แบบที่ไหนกัน?" เพราะการผสมผสานความอัปลักษณ์และความหรูหราเข้าด้วยกันอย่างไม่เกรงใจนี่แหละ คือความชาญฉลาดอันแสนขบถ ที่ทำให้แบรนด์นี้ยังคงคู่ควรแก่การถูกจับจ้องอย่างแท้จริง

Article

     ถ้าจะให้นิยามโชว์นี้ด้วยสามคำ คงหนีไม่พ้น “แปลก กล้า และบ้า” 'แปลก' เพราะดีไซน์และลวดลายของ Duran Lantink มันสุดโต่งจนเหมือนตั้งใจยั่วประสาท ทั้งการประกอบร่างเสื้อผ้าที่เหมือนจะชนกันเอง แต่กลับกลายเป็นบาลานซ์ใหม่ของความงาม ที่เล่นกับโครงสร้าง และร่างกายมนุษย์เหมือนชิ้นงานทดลองที่มีชีวิต 'กล้า' เพราะเขาเลือกจะเดินเส้นทางของตัวเอง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคนดูจะต้องตั้งคำถาม หรือบางคนอาจตั้งธงด่าไว้ก่อน แต่ก็ยังเดินหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ส่วน 'บ้า' นั้น คงต้องบอกว่าเป็นความบ้าที่ถูกที่ถูกเวลา เพราะ Jean Paul Gaultier เองก็คงต้องการคนที่ ’บ้าพอ’ จะเข้าใจดีเอ็นเอของแบรนด์นี้ ความบ้าที่ไม่ใช่แค่เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่คือความบ้าที่มาพร้อมวิสัยทัศน์ ความเฉียบคม และอารมณ์ขันแบบตลกร้าย ที่ทำให้โลกแฟชั่นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บ้าที่มีฝีมือ บ้าที่มีเหตุผล และความบ้าที่เราทุกคนเฝ้ารอดูว่าจะพา JPG ไปไกลแค่ไหน…

     ตามไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Jean Paul Gaultier (กลับมาฮิตอีกครั้ง! 'รองเท้าแหวนไข่มุก' ผลงานโอตกูตูร์จาก Jean Paul Gaultier by Simone Rocha)

ภาพ : Courtesy of Jean Paul Gaultier Vogue Runway / instagram @duranlantinkyo
กราฟฟิก : จินาภา ฟองกษีร