คุยกับ Alessandro Michele เมื่อการร่วมงานกันระหว่าง 'adidas x Gucci' เหมือนสานฝันของเขาให้เป็นจริง
"ทุกวันนี้มีแฟชั่นและความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้น มันไม่จำเป็นจะต้องทำให้เป็นอะไรที่เข้าใจยาก และสำหรับผมเองบางครั้งผมก็อยากที่จะทำอะไรที่แปลกและแตกต่างออกไปบ้างครับ" Alessandro Michele กล่าว
พื้นที่ในการผสมผสานกันของแฟชั่นนั้นแน่นขนัดเปรียบเสมือนรถไฟใต้ดินในชั่วโมงเร่งด่วนเมื่อแบรนด์มากมายได้หันมาสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน ทว่าพูดถึงแถวหน้าของวงการก็คงเป็นแบรนด์สปอร์ตแวร์ยักษ์ใหญ่อย่าง 'adidas' ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างขวางภายใต้เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่นิยม อดิดาสเองได้เชิญแบรนด์แถวหน้าหลายแบรนด์มาทำงานร่วมกัน ทั้งเหล่าดีไซเนอร์ดัง รวมไปถึงนักสเกต และโปรดิวเซอร์นักร้องฮิปฮอป เพื่อที่จะพลิกจุดเปลี่ยนและสร้างความหลากหลายให้กับแบรนด์สามแฉกอันเป็นเอกลักษณ์นี้
ในแง่มุมของการสร้างความน่าสนใจและดึงดูดด้วยการจับมือทำงานร่วมกัน แม้ว่ามันยากที่จะเอาชนะรักสามเส้าของอดิดาสกับสองดาวดังที่ส่องประกายที่สุดในเครือของ Kering อย่างแบรนด์ Gucci และ Balenciaga หัวเรือใหญ่อย่าง Alessandro Michele ผู้ดำรงตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของกุชชี่ได้ทำสำเร็จด้วยการเปิดตัวผลงานอดิดาสคลาสสิกที่เขาออกแบบในงานแฟชั่นโชว์กุชชี่คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วงประจำปี 2022 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งคอลเล็กชั่นเรดี้ทูแวร์กำลังจะวางขายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยได้ Carlin Jacobs มาถ่ายแคมเปญโฆษณาให้ นอกจากนี้มิเคเล่ยังปฏิเสธคำว่า ‘ทำงานร่วมกัน’ แต่ทั้งสองบริษัทต่างมีความคล้ายคลึงกันโดยธรรมชาติ เนื่องด้วยทั้งกุชชี่และอดิดาสต่างก็ใช้ลวดลายโลโก้ที่มีสามแถบอันเป็นเอกลักษณ์ที่คุ้นตาเฉกเช่นเดียวกัน ซึ่งโว้กมีโอกาสได้คุยกับมิเคเล่เกี่ยวกับการเปลี่ยนอดิดาสให้กลายเป็นผลงานผสมผสานของเขา ไม่เพียงเท่านั้นเขายังได้พูดอย่างตรงไปตรงมาถึงการทำงานร่วมกันระหว่างกุชชี่และบาเลนเซียก้า รวมทั้งพูดคุยถึงเรื่องการคอแลบอเรชั่นในฝันของเขาอีกด้วย
วิดีโอ: Gucci
WATCH
Vogue: เราอยากให้คุณขยายความเรื่องไอเดียของการร่วมงานกับอดิดาส ถึงแม้ว่าคุณจะมองว่าคอนเซปต์ของการร่วมงานกันนั้นค่อนข้างจำกัดและคุณไม่ค่อยชื่นชอบนักกับการใช้คำว่า ‘คอแลบอเรชั่น’
Alessandro: คำว่าการร่วมงานกันจริงๆ มันเป็นเพียงแค่การรวมคำคำหนึ่งเท่านั้น และแน่นอนว่าผมใช้มันจริงๆ ในทางกายภาพอย่างมีความหมายและคุ้มค่า แต่สำหรับตัวผมแล้วมันมีความหมายที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในตอนแรกที่ผมได้ทำงานกับกุชชี่ ผมได้ทำโปรเจกต์ในซีรี่ส์มากมายในรูปแบบที่หลากหลาย ในรูปแบบที่มีความซับซ้อน ในโชว์หลายๆ โชว์ของผม ผมเลยนำความแตกต่างหลากหลายรูปแบบนั้นมารวมเลเยอร์เข้าด้วยกัน ซึ่งผมมองว่าเป็น ‘องค์ประกอบที่พูดได้’ โดยทำหน้าที่เปรียบเหมือนตัวกระตุ้นและตัวขยาย เช่นเดียวกับการจำกัดความของกรอบและการยกระดับ หรือที่ทำให้เกิดความลึกลับปริศนา และเกิดความหมายที่แฝงไว้ให้กับผู้ชมครับ การนำเสนอเรเฟอเรนซ์หลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแสดงออกอย่างชัดเจน และหลายคนค้นพบว่าการรวมหรือการปะทะกันของหลายๆ รูปแบบที่แตกต่างกันนั้นสามารถดึงดูดและวิเศษได้ขนาดไหน ซึ่งสิ่งนี้เป็นเหมือนแพลตฟอร์มสื่อสารที่แสดงให้เห็นโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะการเปิดกว้างสำหรับการสื่อสารภาษาและไอเดียที่หลากหลายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในช่วงเวลาปัจจุบันของเรา และเราสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ สำหรับแฟชั่นเองที่มีกรอบค่อนข้างจำกัดและเคยถูกตีกรอบก็ถุกเปิดกว้างมากขึ้น โดยการเปิดรับความแปลกใหม่ที่มาจากหลากทิศทางและหลายมิติ ลองคิดถึงความวิเศษและน่าทึ่งจากผลงานของ Virgil จากแบรนด์ Louis Vitton สิครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจำกัดความว่า 'คอแลบอเรชั่น' จริงๆ แล้วก็คือการเผชิญหน้าและการที่ทุกคนทำมันในรูปแบบของตัวเองอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ทุกวันนี้มีแฟชั่นและความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้น มันไม่จำเป็นจะต้องทำให้เป็นอะไรที่เข้าใจยาก และสำหรับผมเองบางครั้งผมก็อยากที่จะทำอะไรที่แปลกและแตกต่างออกไปบ้างครับ
V: เหมือนอย่างที่คุณเคยร่วมทำงานกับ Demna ในโปรเจกต์ 'Hacker' เมื่อปี 2021 ในการร่วมงานกันระหว่างกุชชี่และบาเลนเซียก้าใช่ไหม?
A: ใช่ครับ นั่นเป็นโปรเจกต์ที่ทำขึ้นเพื่อความสนุกเลยครับ ผมได้นั่งคุยอยู่กับเพื่อนร่วมงานของผม Venni ซึ่งเขาเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง เขามักจะเห็นผมทำงานด้วยการสร้างสรรค์ผลงานของผม และตั้งคำถามว่าผมกำลังทำอะไรและทำทำไม วันหนึ่งเขาเลยถามผมว่า "จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแบรนด์แฟชั่นแบรนด์หนึ่งไปทำงานร่วมกับอีกแบรนด์หนึ่ง" แล้วพวกเขาก็แลกเปลี่ยนความคิดและแชร์ไอเดียกัน มันทำได้หรือเปล่า? มันสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงๆ ไหมนะ? ผมพูดว่าโอ้พระเจ้า และคิดว่ามันค่อนข้างสุดยอดมาก ผมไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง แต่แล้วผมก็มีความรู้สึกสงสัยขึ้นมาจนเกิดความคิดที่ว่ามันคงจะเป็นอะไรที่สนุกมากแน่ๆ และเพราะผมชอบสิ่งที่เด็มนาทำมาก ผมเลยโทรหาเด็มนาและมันก็เกิดงานนี้ขึ้นครับ พวกเราเล่นกันเหมือนเด็ก เราสนุกกับมันมากและผมคิดว่ามันเป็นการทดลองที่ประสบความสำเร็จเสียด้วย ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าแฟชั่นสามารถถูกสร้างและสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ได้โดยที่ไม่สูญเสียอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของตัวมันไป ในทางตรงข้ามการเผชิญหน้าและการทำสิ่งใหม่ๆ ในครั้งนี้ได้สร้างภาพลักษณ์และความหมายใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย แฟชั่นเป็นภาษาที่ทรงพลังมากจริงๆ ครับ
วิดีโอ: Gucci
V: เรียกว่าการร่วมงานกันของคุณและเด็มนาค่อนข้างที่จะเกี่ยวโยงกัน เนื่องจากมันเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เขาเองก็เพิ่งได้เปิดตัวผลงานของเขาที่ได้ทำร่วมกับอดิดาสที่ Resort Show ณ เมืองนิวยอร์ก เช่นกัน คุณมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
A: ผมคิดว่าโชว์นั้นสวยงามมาก ผมเชื่อว่าเรามีความคล้ายคลึงกันถึงแม้ว่าเราจะทำหลายๆ สิ่งในแบบที่แตกต่างกัน และเราทั้งคู่ต่างทำงานในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เราต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์หลายๆ อย่างในหลายระดับ สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นภาพสะท้อนที่ทรงพลังมากสำหรับผม และสำหรับการทำงานกับอดิดาสมันเหมือนกับว่าเราทั้งคู่ได้เพนต์ภาพเขียนชุดดอกบัวของโมเน่ต์…ผมอายุมากกว่าเด็ม และผมได้มีประสบการณ์กับอดิดาสในช่วงเวลาที่เด็กๆ อยากจะมีชุดวอร์มของอดิดาสไว้ครอบครอง มันไม่ใช่ชุดออกกำลังกายเพื่อใช้ออกกำลังกายจริงๆ ในยิม มันเหมือนกับเป็นสูทที่ผู้ชายใส่กันแต่เป็นเวอร์ชั่นชุดลำลองน่ะครับ มันเจ๋งและเท่มาก หรือว่าคุณจะสวมแค่ซิปแจ็กเก็ตใส่คู่กับกางเกงยีนส์อย่างที่แม่ผมใส่บ่อยๆ ก็ได้ ดังนั้นผมเลยเติบโตมากับไอเดียของอดิดาสที่ค่อนข้างมีระดับนิดหน่อย แต่ก็ยังคงความไร้ขอบเขตเอาไว้ มันเป็นการนำเสนอความคิดยุคใหม่ที่ให้อิสระ ด้วยการผสมผสานเครื่องแต่งกายกีฬาแบบสปอร์ตแวร์ไปกับความมีระดับในขณะที่ลดความเป็นทางการของมันลง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเป็นไปได้กับแนวคิดเรื่องการจำกัดที่น้อยลงในการนำเสนอตัวเองด้วยครับ ผมไม่ได้รู้เรื่องราวส่วนตัวที่เด็มนามีต่ออดิดาส แต่เรามีวิธีเข้าถึงโค้ดส์ของอดิดาสที่เหมือนกันด้วยวิธีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วิธีของผมเป็นวิธีที่มองโลกในแง่มุมที่สนุก โดยการที่สปอร์ตแวร์จะให้ความรู้สึกชิกและมีกลิ่นอายความย้อนยุค ในขณะที่เด็มนาตีความออกมาเป็นแนวยูนิฟอร์มมากกว่า สิ่งๆ เดียวกันสามารถแปรเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบและรูปทรงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมองสิ่งเหล่านั้นในมุมมองแบบไหน มันเป็นอะไรที่พิเศษและน่าทึ่งเกินบรรยายมากจริงๆ ครับ
V: เมื่อพูดถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบแล้ว ผลงานของคุณมักจะพูดถึงไอเดียของการเปลี่ยนแปลง โดยที่มันมีภาพลักษณ์และแนวคิดเชิงย่อยของสิ่งต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนและกลายเป็นอย่างอื่นซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงความลื่นไหลของวิธีในการนำเสนอตัวเองในทุกวันนี้
A: สิ่งที่ผมต้องการจะทำกับประสบการณ์ที่มีร่วมกับอดิดาสคือการร่วมเดินทางในช่วงของการเปลี่ยนแปลงโค้ดส์ของสปอร์ตแวร์ ดังนั้นผมเลยเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นรูปแบบที่หลากหลาย เช่นรูปแบบของชุดสีเข้มกำมะหยี่ที่ดูเหมาะสมกับ 'Countess of Castiglione' หรือแม่ม่ายที่เศร้าสร้อย ผมได้เปลี่ยนแปลงมันให้กลายมาเป็นส่วนผสมสุดโรแมนติกที่เข้ากันได้ดีกับสาวโสดในช่วงยุควิกตอเรียน หรือแม้กระทั่งเหล่าหญิงผู้กล้าในภาพยนตร์เรื่อง 'Picnic at Hanging Rock' ผมได้คิดเกี่ยวกับแถบหลายแถบบนชุดทางการทหารของนโปเลียนที่สามด้วยครับ
วิดีโอ: Gucci
V: คอลเล็กชั่น adidas x Gucci ที่วางจำหน่ายวันนี้ดูเหมือนเป็นการยอมรับถึงความเป็นกุชชี่ที่ถูกใส่เข้ามาในอดิดาส เพราะคุณได้ออกแบบและนำเอาสัญลักษณ์แถบสามแถบและเครื่องหมายสามแฉกของอดิดาสมาพิมพ์ลายตกแต่งลงบนพื้นผิวมากเท่าที่จะสามารถทำได้ ตั้งแต่กระเป๋าไปจนถึงเสื้อผ้าและรวมไปถึงเครื่องประดับต่างๆ ด้วย
A: ครับ ผมมีความเป็นนักปฏิวัติในตัวเองนิดหน่อย ผมได้เปลี่ยนแปลงประสบการณ์นี้สู่การทดลองที่สนุกและค่อนข้างน่าเวียนหัวครับ เหมือนตอนที่คุณอยู่โรงเรียน คุณเล่นกับอุปกรณ์เคมี มันมักจะมีความขี้เล่นและสนุกสนานแอบแฝงอยู่ในการเดินทางของผมครับ เหมือนกับว่ามันถูกทำแบบสุ่มๆ จากเด็กคนหนึ่ง คุณสับเปลี่ยนส่วนผสมในสารเคมี คุณออกนอกเส้นทางและแบบแผน…แม้กระทั่งในแคมเปญโฆษณาก็ยังมีกลิ่นอายของความคลุมเครือ เราถ่ายมันขณะที่มันเคลื่อนที่เพราะเราต้องการความมีชีวิตชีวา แต่คุณจะไม่เข้าใจเลยว่าจริงๆ แล้วเรากำลังทำอย่างจริงจังหรือเรากำลังสนุกและกำลังซุกซนอยู่…ส่วนสัญลักษณ์ดอกบัวสามแฉกของอดิดาสก็กลายมาเป็นการผสมกันระหว่าง William Morris และภาพวอลเปเปอร์บนผนังในห้องรับแขกของคุณแม่ของผมทำให้แถบสามแถบกลายมาเป็นสิ่งอื่น ผมได้ศึกษาข้อมูลในคลังของอดิดาสด้วย ผมทำงานภายใต้กรอบ กฎ และความเคารพต่อแบรนด์ แต่ผมก็มีความหลงใหลในการตกแต่งมาก ดังนั้นผมเลยต้องการที่จะปรับรูปแบบของมัน ทว่าหากพูดถึงประวัติในอดีตแล้ว อดิดาสเองก็ได้มีการซึมซับการเปลี่ยนรูปแบบมานับครั้งไม่ถ้วน ลองคิดถึงชุดของอดิดาสที่ถูกนำมาออกแบบใหม่โดยดีไซเนอร์อย่าง Laura Whitcomb ที่ Madonna สวมใส่ในปี 1993 สิครับ ในตอนนั้นมันสร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก การทำการทดลองหรือทำงานร่วมกันเช่นนี้ระหว่างสองภาษาและแนวคิดที่แตกต่างกันได้กลายมาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างปกติแล้ว และในวันนี้ความคิดที่ว่าเราสามารถทำได้มากกว่าที่คิดได้ถูกส่งต่อและถ่ายทอดแล้ว ซึ่งผมหวังว่าผมจะมีส่วนช่วยในการทำให้คอนเซปต์และไอเดียเหล่านี้ยังดำรงต่อและหมุนเวียนต่อไปได้ครับ
V: คุณมีความฝันที่อยากจะร่วมงานกับใครอีกไหม?
A: ถ้าหากเขายังมีชีวิตอยู่ การร่วมงานในฝันของผมคงเป็นการร่วมงานกับ Keith Haring มันคงเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเพราะเขาเป็นศิลปินที่ใช้ตัวอักษร Hieroglyphs และรูปโลโก้เป็น Hieroglyphs จริงๆ ผมจำได้ว่าในกรุงโรมเขาเคยเพนต์เอาไว้ที่อุโมงค์ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟที่ผมเดินผ่านทุกวัน มันเป็นงานที่สุดยอดมาก มันเจ๋งและเต็มไปด้วยความหมายทั้งสิ้น และทุกครั้งที่ผมเห็นมัน มันทำให้ผมอยากที่จะเห็นนิวยอร์ก เขาเป็นศิลปินและเป็นคนที่เป็นรากฐานใน Pop Imagery ของผม วิธีในการแสดงออกความหลงใหลของเขาโดยการเพนต์พื้นผิวด้วยผลงานของเขา และเปลี่ยนรูปแบบให้มันกลายเป็นอย่างอื่นได้ซึ่งคล้ายคลึงกับความหลงใหลของผมที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การปรับแต่งแล้วก็การเปลี่ยนรูปครับ ผมไม่ได้จะบอกว่าผมอยากที่จะเจอกับ Andy Warhol ผมโอเคแล้วกับ Keith Haring แต่คิดดูอีกครั้งเกี่ยวกับไอเดียของการรวมความคิดสร้างสรรค์กับคนที่มีความสามารถ แฟชั่นสำหรับผมแล้วเปรียบเหมือนกลุ่มดาว เหมือนการโหมออร์เคสตราของการผสมผสานเวลา เสียง และสถานที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งแฟชั่นไม่เคยเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บริสุทธิ์ หรือเป็นจักรวาลที่ไม่เคยโดนแตะต้อง ถ้าเรานึกถึงเหล่าดีไซเนอร์สที่ยอดเยี่ยมหลายๆ คน เราจะพบว่าพวกเขาแลกเปลี่ยนภาษาและความคิดระหว่างกัน ทั้งศิลปะ ดนตรี และความรู้ก็เป็นในลักษณะเดียวกัน ถ้าคุณสังเกต ดู หรือฟังคำพูดคำบอกเล่าของคนอื่น คุณก็สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมได้ครับ
แปล : พีรยา พรมภักดี
เรียบเรียง : รมิตา เนื่องทองนิ่ม
WATCH