LIFESTYLE

เปิดเรื่องราว ‘สมรสเท่าเทียม’ การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สะท้อนการโอบรับความหลากหลายอย่างจริงจัง

ย้อนไทม์ไลน์ 23 ปีแห่งการเคลื่อนไหวของ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ พร้อมเจาะลึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

ย้อนไทม์ไลน์ 23 ปีแห่งการเคลื่อนไหวของ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’

จุดเริ่มต้นการผลักดันให้มีการรับรองกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยเป็นการเคลื่อนไหวที่ยาวนานโดยกินเวลาไป 23 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ภายใต้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่ได้ริเริ่มแนวคิดสมรสเท่าเทียมขึ้นมา แต่ทว่ากระแสสังคมในขณะนั้นเกิดการต่อต้านและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง จนทำให้ต้องยุติแผนการไปเนื่องจากมองว่าสังคมไทยยังคงไม่พร้อมสำหรับกฎหมายนี้

แม้ว่าจะมีการต่อต้านอย่างหนักแต่เมื่อเวลาผ่านไปนับสิบปีกระแสเรียกร้องจากกลุ่ม LGBTQ+ ก็เริ่มชัดเจนขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2555 คู่รัก LGBTQ+ หลายคู่มีความต้องการจดทะเบียนสมรสแต่กลับถูกปฏิเสธ ทำให้เกิดการร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจนนำไปสู่การร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คู่ชีวิตในปี พ.ศ. 2556 ภายใต้รัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้กฎหมายนี้จะไม่สามารถครอบคลุมสิทธิประโยชน์และสวัสดิการเทียบเท่ากับคู่สมรสชาย-หญิง แต่ก็นับเป็นหนึ่งก้าวของประเทศไทยที่สะท้อนถึงการขับเคลื่อนความหลากหลายอย่างจริงจัง ไปพร้อมๆ กับกระแสโลกฝั่งชาติตะวันตกที่เริ่มยอมรับ Civil Partnership

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยต้องถอยหลังลงอีกขั้น เนื่องจากเกิดการรัฐประหารจึงทำให้การผลักดันร่างกฎหมายถูกหยุดชะงักไป อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมในสังคมก็ยังไม่หยุดนิ่ง โดยในปี พ.ศ. 2563 ภายใต้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดการขับเคลื่อนทางการเมืองจากประชาชนหลายภาคส่วน แม้รัฐบาลจะมีการจัดทำ พ.ร.บ.คู่ชีวิตแล้วก็ตาม แต่พรรคก้าวไกลก็ได้ยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 ซึ่งได้รับการบรรจุในวาระแรกและผ่านการพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ในช่วงนี้เองที่การล่มสภาในหลายๆ ครั้งส่งให้การพิจารณาร่างกฎหมายไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างเต็มที่ จนในที่สุด พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมก็ถูกปัดตกไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม ความหวังยังไม่สิ้นสุด เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมฉบับกระทรวงยุติธรรมได้ผ่านมติ ครม. และได้รับการพิจารณาจากสภาในวาระด่วน จนมาถึงการเดินทางด่านสุดท้าย เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567 วุฒิสภาได้มีมติเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวาระที่ 2 และ 3 ส่งให้ร่างกฎหมายผ่านการเห็นชอบ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ ในประเทศไทย

และแสงแห่งความหวังก็เฉิดฉาย เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2567 ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2567 ซึ่งเปิดโอกาสให้การสมรสไม่จำกัดเฉพาะชายและหญิงอีกต่อไป แต่รองรับการสมรสระหว่างบุคคลทุกเพศ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป โดยมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหลายอย่างหนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนแปลงจากคำว่า ‘สามี-ภรรยา‘ มาเป็นคำว่า ‘คู่สมรส’ แทน ซึ่งเป็นการยอมรับสิทธิเท่าเทียมให้แก่ทุกเพศ

การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ 38 ในโลกและเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ทำให้การสมรสไม่จำกัดแค่ชายหญิงเท่านั้น การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้นับเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ ในประเทศ และเป็นเครื่องยืนยันว่าแม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้านและอุปสรรคต่างๆ แต่การยืนหยัดและการเรียกร้องสิทธิจากกลุ่มคนที่เคยถูกมองข้ามในสังคมก็สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ การรองรับสิทธิสมรสเท่าเทียมสำหรับทุกเพศไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับและเคารพในความหลากหลายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเข้าใจและความพร้อมของสังคมไทยที่กำลังก้าวไปสู่การเป็นสังคมที่เปิดกว้างและมีความเท่าเทียมมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่งการที่ต้องใช้เวลายาวนานถึง 23 ปีกลับแสดงให้เห็นถึงความท้าทายและความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงมุมมองของสังคมที่ยังมีความคับแคบหลายภาคส่วน แม้ที่ผ่านมาสังคมไทยจะอยู่คู่กับ LGBTQ+ มาอย่างยาวนานแต่ก็เป็นเพียงทางพฤตินัยเท่านั้น การผ่านกฎหมายในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อกลุ่ม LGBTQ+ แต่ยังสะท้อนถึงความก้าวหน้าในด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคในการก้าวไปข้างหน้าเรื่องความเท่าเทียมและการยอมรับความหลากหลาย

ผลกระทบและอนาคตหลังจาก ‘สมรสเท่าเทียม’

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบในเชิงสังคมและทัศนคติของคนในสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนหลังการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมจะเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยประการแรกคือการสร้างมาตรฐานใหม่ต่อยอดจากเดิม แรกเริ่มเดิมทีกับโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายแต่ปราศจากการรองรับในกฎระเบียบทางสังคม ทำให้สังคมผลักกลุ่ม LGBTQ+ ออกไปทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต่อมากับ พ.ร.บ. คู่ชีวิต แสงสว่างเรื่องสิทธิความเท่าเทียมถูกชูขึ้นพร้อมกับสร้างความตระหนักรู้ของการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายร่วมกับคนรัก ทว่าสิทธิดังกล่าวก็ยังมีข้อจำกัดบางส่วนที่ไม่เทียบเท่าสถานะของคู่สมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหมั้นหมาย ดังนั้นเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้ามามีบทบาทสำคัญในสารบบสังคมไทย การเปิดฉากความรักอันเป็นทางการคือจุดหมายที่ทำให้คู่รักจะไม่ถูกตีกรอบจำกัดสิทธิด้วยนิยามเรื่องเพศอีกต่อไป

จุดหมายสำคัญของโลกในด้านความหลากหลายและความเท่าเทียม อย่างที่ทราบกันดีว่าผลกระทบเชิงสังคมเห็นได้อย่างชัดเจนกับมุมมองต่อชาวโลกที่มีต่อประเทศไทย ก่อนหน้านี้ไต้หวันคือตัวอย่างสำคัญที่ทำให้เห็นว่าเป็น ‘Hub’ ของกลุ่ม LGBTQ+ ที่เปิดกว้างอย่างอิสระ การโอบรับความแตกต่าง และถ่ายทอดเรื่องราวการสมรสโดยไม่จำกัดเพศคือกุญแจที่ทำให้เห็นถึงความเท่าเทียมที่สร้างมาตรฐานในโลกยุคใหม่ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ช่วงหลังมีภาพจำอันงดงามเกี่ยวกับวิถีการโอบรับความหลากหลายอย่างเด่นชัด ทว่ากลับไม่มีกฎหมายรองรับสถานะคู่สมรสอันเป็นสถานะอันพึงปรารถนาของประชาชน วันนี้เมื่อ ‘สมรสเท่าเทียม’ ถูกผลักดันและผ่านจนเปิดโอกาสให้คู่รักแปรเปลี่ยนสถานเป็นคู่สมรส ทำให้ไทยแลนด์คือดินแดนแห่งความหลากหลายในสายตาชาวโลกโดยแท้จริง

“จุดหมายที่เลือกได้ในชีวิต” กรอบความอิสระในการดำรงชีวิตด้วยเป้าหมายของการครองคู่คือความฝันของมนุษย์หลายคน ไม่ว่าจะเพศใดก็สามารถรู้สึกต้องการการครองคู่ได้ไม่ต่างกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้เลนส์การมองชีวิตของกลุ่ม LGBTQ+ รุ่นใหม่เผยให้เห็นแสงสว่างที่อาจสร้างความรู้สึกมั่นคงในการใช้ชีวิต ความว่างเปล่าของสถานะ การคุ้มครองสิทธิ์ทางกฎหมาย รวมถึงการดูแลครอบครัวและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายจะไม่ใช่ปัจจัยที่ต้องมานั่งกุมขมับกังวลเพราะกรอบด้านสิทธิความเท่าเทียมที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะวันนี้มันเกิดขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ

“บุตรร่วมกัน” สถานะใหม่ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับแนวทางการสร้างครอบครัวของ LGBTQ+ ที่สมบูรณ์มากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพศไม่ใช่ตัวกำหนดความคิดเรื่องการสร้างครอบครัว เดิมทีแม้จะสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ในทางปฏิบัติ แต่ในทางกฎหมายบุตรคนนั้นจะเป็นเพียงบุตรของใครคนใดคนหนึ่งไม่ใช่คู่สมรส แต่เมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น บุตรบุญธรรมจะกลายเป็นบุตรร่วมกันของคู่สมรส แม้ในมิติอันผิวเผินจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต่างกัน ทว่าหากเจาะลึกถึงรายละเอียดจะพบว่านี่คือส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมครอบครัวพัฒนาอย่างมั่นคง เพราะสิทธิ์การตัดสินใจหรือสิทธิ์อำนาจในเชิงคู่สมรสเข้ามามีบทบาทในรูปแบบครอบครัวมากขึ้น การตัดสินใจร่วมกันอันเป็นสัญญะของการเป็นครอบครัวจึงถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการสมรสเท่าเทียม

การเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่ดินแดนอันเสรีของความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ อย่างที่กล่าวไปว่าสิทธิต่างๆ ของสถานะคู่สมรสถูกประทับตราให้เท่าเทียมกัน ประเทศไทยจึงพร้อมเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเหล่า LGBTQ+ จากทั่วทุกมุมโลก ชาวต่างชาติอาจย้ายเข้ามาในประเทศไทยเพื่อใช้ชีวิตอย่างเสรีและดำเนินสถานะผ่านการสมรสอันเท่าเทียม การเข้ามาของชาวต่างชาติที่ต้องการใช้ชีวิตคู่สมรสในประเทศไทย หมายถึงการหอบทรัพยากรและเป้าหมายเพื่อใช้ชีวิตในประเทศแห่งนี้ แน่นอนว่าประเด็นเรื่องสัญชาติยังต้องพิจารณาและปรับปรุงกันต่อไป แต่เชื่อว่าการสมรสที่ปราศจากความลักลั่นทางกฎเกณฑ์อันเบียดเบียนเรื่องเพศจะเป็นแสงสว่างให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ไม่ใช่เพียงในประเทศ ยังรวมถึงต่างประเทศอีกด้วย

เสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าเสรีนิยมยุคใหม่กับบั้นปลายของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง...ในเชิงสังคมวิทยาการแปรเปลี่ยนเกิดจากวิถีแห่งการสู้รบในสนามแห่งคราบน้ำตาและความอดทน เรื่องราวของการสมรสระหว่างบุคคลโดยปราศจากเรื่องเพศต้องฝ่าด่านการวิจารณ์และการผลัดเปลี่ยนยุคสมัยมานักต่อนัก วันนี้เมื่อเสียงโห่ร้องยินดีของ LGBTQ+ ดังกึกก้อง มันเป็นดั่งเสียงสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายของความไม่สอดคล้องกับยุคสมัยของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่มีแนวคิดสวนทางกับความเท่าเทียมของมนุษย์ เชื่อว่าต่อไปการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ลบล้างแนวคิดล้าหลังจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง และแนวคิดเหล่านั้นก็จะสูญสลายหายไปตามกาลเวลาในที่สุด

สุดท้ายการสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยถือเป็นชนวนแห่งการพัฒนาสังคมโลกอย่างเป็นประจักษ์ ความยอดเยี่ยมในการนำเสนอภาพความเท่าเทียมและสนับสนุนสิทธิการครองคู่เฉกเช่นมนุษย์คือสัญลักษณ์แห่งความเท่าเทียม ซึ่งจะถูกแพร่กระจายอิทธิพลไปทั่วโลก การเป็นประเทศล่าสุด เป็นประเทศที่ 38 ของโลก และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะถูกยกเป็นกรณีตัวอย่างที่บ่งบอกถึงการพัฒนาความเท่าเทียมและโอบรับความหลากหลายอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยเท่านั้น ทว่ายังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองและการผลักดันกฎหมายรูปแบบเดียวกันให้เกิดขึ้นในอีกหลายพื้นที่ทั่วโลก ในสมการธุรกิจหรืออำนาจทางการเมือง ประเทศไทยอาจไม่ใช่มหาอำนาจค้ำโลก แต่ในเชิงสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงมิติความหลากหลาย ประเทศไทยสามารถเป็นตัวอย่างด้านดีที่ชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาและเจริญเติบโตเชิงบวกในชุดความคิดของคนในสังคม ในขณะที่การถูกหยามเหยียดเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศจากกลุ่มคนบางกลุ่มเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่การตอบโต้ด้วยการเปิดรับความหลากหลาย ตอกหน้าด้วยการพัฒนาเชิงสังคมที่เท่าเทียมคือคำตอบที่บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าประเทศไทยไม่ได้ดูแคลน LGBTQ+ แต่ภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่(พวกเขา)สามารถยืนหยัดต่อสู้และเรียกร้องสิทธิความเป็นมนุษย์เฉกเช่นคนในสังคมเดียวกัน โว้กจึงขอแสดงความยินดีและพร้อมเป็นแรงสนับสนุนผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมในทุกมิติเนื่องในโอกาสนี้



WATCH




เรื่อง : อชิรญา ดวงแก้ว, นาทนาม ไวยหงษ์
กราฟิก : จินาภา ฟองกษีร
ภาพ : Royal Thai Government

WATCH