LIFESTYLE
Trainspotting ภาพยนตร์ “เด็กเสเพลแห่งสกอตแลนด์” ภาพสะท้อนและบทเรียนของเหล่าวัยคะนองทุกยุคสมัยTrainspotting ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลจากทุนสร้างเพียง 1.5 ล้านปอนด์ สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกรวมได้กว่า 48 ล้านปอนด์ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือแง่คำวิจารณ์ Trainspotting ถูกยกให้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์วัยรุ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล |
คำอธิบายภาพ: Danny Boyle ผู้กำกับที่สร้าง Trainspotting ให้กลายเป็นภาพยนตร์ระดับตำนาน
*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Trainspotting และ T2
1996 คือปีที่ภาพยนตร์เรื่อง “เด็กเสเพล” ผลงานการกำกับของ นพพร วาทิน และมี วินรวีร์ ใหญ่เสมอ (ต๊ะ บอยสเก้าท์) นำแสดงเข้าฉาย ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยคะนองที่โชคชะตาทำให้เขาต้องเข้าสู่เส้นทางชีวิตที่เสี่ยงอันตราย และยากที่จะกลับตัว จากการต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ด้วยไฟสงครามยุคคอมมิวนิสต์ ในตอนที่เข้าฉายเด็กเสเพลประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ โดยเฉพาะในแง่เนื้อเรื่องที่เป็นการสะท้อนภาพของเหล่าวัยคะนองที่ใช้ชีวิตเหลวแหลกได้อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งข้อความบอกสังคมว่าไม่ใช่เด็กเสเพลทุกคนที่อยากใช้ชีวิตในเส้นทางดีดำ แต่บางครั้งที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก
และราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะในปีเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของโลก ก็มีภาพยนตร์เรื่อง Trainspotting ผลงานการกำกับของ Danny Boyle เข้าฉาย ซึ่งไม่ว่าจะมองยังไงนี่มันก็ “เด็กเสเพลแห่งสกอตแลนด์” ชัดๆ เช่นเดียวกับเด็กเสเพล Trainspotting ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล จากทุนสร้างเพียง 1.5 ล้านปอนด์ สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกรวมได้กว่า 48 ล้านปอนด์ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือแง่คำวิจารณ์ Trainspotting ถูกยกให้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์วัยรุ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล และไม่ว่ากาลเวลาจะเคลื่อนผ่านไปกี่ยุคสมัย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นภาพสะท้อน พร้อมทั้งให้บทเรียนแก่เหล่าวัยคะนองได้เป็นอย่างดี
คำอธิบายภาพ: เหล่าเด็กเสเพลแห่ง Trainspotting
ชีวิตที่เราเลือกเอง
“Choose Life. Choose a job. Choose a career. Choose a family. Choose a fucking big television….But why would I want to do a thing like that? I chose not to choose life. I chose somethin' else.” วลีคลาสสิคตลอดกาลที่กล่าวโดยตัวละคร Mark Renton (นำแสดงโดย Ewan McGregor ) จาก Trainspotting ที่เป็นการสรุปใจความสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา
Trainspotting ดัดแปลงมาจากนวนิยายรางวัล Booker Prize ยอดขายกว่า 5 ล้านเล่ม ผลงานจากปลายปากกาของ Irvine Welsh ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนวัยคะนองที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงประเทศสกอตแลนด์ สมาชิกประกอบด้วย Mark Renton, Sick Boy (นำแสดงโดย Jonny Lee Miller), Spud (นำแสดงโดย Ewen Bremner), Begbie (นำแสดงโดย Robert Carlyle), และ Tommy (นำแสดงโดย Kevin McKidd) ซึ่งหากจะถามว่าวิถีชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร คำว่า Trainspotting น่าจะจำกัดความได้ดีที่สุด
ชื่อเรื่อง Trainspotting มีที่มาจากจากตอนหนึ่งในนวนิยาย เมื่อ Renton และ Begbie ไปเจอลุงขี้เมาไร้บ้านในสถานีรถไฟ Leith Central ที่เลิกใช้ไปแล้ว ก่อนที่ลุงจะถามพวกเขาทั้งสองว่า “จะเข้ามาดูรถไฟกันเหรอ” ซึ่ง Welsh เคยอธิบายไว้ว่า ช่วงที่เขาเติบโตในเอดินบะระ เมืองหลวงสกอตแลนด์ ที่นั่นมีสถานีรถไฟร้างที่กลายเป็นที่ชุมนุมของคนไร้บ้านและคนติดยา ซึ่งคนเหล่านี้จะใช้คำพูดว่า ‘trainspotting’ เมื่อพวกเขาจะไปเสพยากัน นั่นทำให้ช่วงปลายของยุค 80s ในสหราชอาณาจักร คำว่า trainspotting จึงหมายถึงคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง เหยาะแหยะ วันๆ เอาแต่เสพยาเสพติดอย่างไร้จุดหมาย และแน่นอนว่ากลุ่มตัวละครหลักของภาพยนตร์ Trainspotting ก็เป็นแบบที่ว่ามาไม่ผิดเพี้ยน
คำอธิบายภาพ: Trainspotting (1996)
ประโยค Choose Life ซึ่งเป็นประโยคสำคัญของเรื่องถึงขั้นที่ Danny Boyle เลือกใช้เป็นประโยคเปิดหนังจึงมีความหมายจิกกัดอย่างเจ็บแสบ คือการที่เหล่าตัวละครหลักหัวขบถ ผู้มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการเลือกเส้นทางชีวิต แต้เส้นทางที่พวกเขาเลือกกลับเป็น trainspotting ซึ่งก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก หากพวกเขาอยู่กันอย่างสงบ ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม ทว่าพวกเขากลับทำตรงข้ามกับทุกสิ่งที่กล่าวมา
และหากก้าวผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง การถลำลึกนั้นง่ายกว่าการกลับตัวกลับใจหลายเท่า นี่คืออีกบทเรียนที่ Trainspotting บอกกับผู้ชม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือตัวละคร Renton ที่นับตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไปเขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ใช้ชีวิตโดยคิดถึงอนาคต แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายคืออาการลงแดงจากการหักดิบเฮโรอีนที่เล่นงานเขาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สิ่งที่ยากที่สุด กลุ่มเพื่อนต่างหากที่เกาะติดเขาแน่นราวกับเป็นปรสิตที่สลัดยังไงก็ไม่ออก
WATCH
ถึงแม้ Renton จะเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการย้ายไปที่กรุงลอนดอน ประกอบอาชีพสุจริตเป็นนายหน้าขายบ้าน เลิกยาเสพติดอย่างเด็ดขาด แต่เพื่อนตัวแสบอย่าง Sick Boy และ Begbie ก็ยังคอยตามรังควานไม่เลิก ส่วน Renton ที่เห็นแก่ความสนิทสนม เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ จึงอยู่ในสภาพจำยอมอย่างเสียไม่ได้ จากที่เริ่มชีวิตใหม่ได้แล้ว เขาก็กลับเข้าสู่การทำผิดกฎหมายอีกครั้ง
ทว่าสุดท้าย Renton ซึ่งรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับวิถีชีวิตเดิมๆ และกลุ่มเพื่อนอีกต่อไป ก็ตัดสินใจเดินออกมา พร้อมขโมยเงิน (ที่ได้มาจากการขายยา) ทั้งหมดติดตัวมาด้วย แน่นอนว่าเขาอยากได้เงินก้อนนั้น และคิดว่าถ้าเขาไม่หักหลังก่อน เดี๋ยวเพื่อนคนอื่นก็หักหลังเขาอยู่ดี ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนเขาแบบนั้น แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่ซ่อนอยู่คือการที่เขาเลือกทำเช่นนี้แปลว่าเขาจะหันหลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตามนี่คือสิ่งที่ Renton เลือก
...Renton เลือกที่จะเดินทางสู่สิ่งใหม่ๆ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็เลือกเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่เลือกนั้นอาจจะแตกต่างออกไป...
คำอธิบายภาพ: ตัวละคร Mark Renton นำแสดงโดย Ewan McGregor
เลือกใหม่อีกครั้ง
เหมือนจะจบแต่ยังไม่จบ เพราะในอีก 23 ปีต่อมา Trainspotting ถูกนำกลับมาสร้างอีกครั้งด้วยดรีมทีมชุดเดิมเกือบยกเซต และแน่นอน Danny Boyle ยังคงนั่งแท่นกำกับ Trainspotting ภาค 2 ในชื่อ T2 บอกเล่าเรื่องราวในอีก 20 ปีต่อมา หลังจากวันที่ Renton ตัดสินใจขโมยเงิน และหนีไปจากเพื่อนๆ ทุกคน ในภาคนี้ Renton ในวัยกลางคนได้หวนกลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง ทว่าการกลับมาครั้งนี้นำพาไปสู่เรื่องราวที่วายป่วงเกินคาดคิด Renton ได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง ก่อนที่จะพบว่าแต่ละคนแทบไม่ต่างไปจาก 20 ปีที่แล้วเลย ยิ่งไปกว่านั้น Begbie ยังคงเคียดแค้น Renton เฝ้ารอว่าเมื่อไรจะได้ล้างแค้น และเขาก็เกือบทำสำเร็จ Renton เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็แลกด้วยการที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตในเรือนจำอีกคำรบ
ใน T2 มีความจริงอีกเรื่องถูกเปิดเผย นั่นคือชีวิตของ Renton ที่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาถึงแม้เขาจะหนีจากวงจรเก่าๆ ไปไกลถึงกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทว่าชีวิตใหม่ที่เขาเลือกกลับพบเจอแต่ความล้มเหลว ไม่มีสิ่งใดให้น่าภูมิใจสักอย่างเดียว สุขภาพย่ำแย่ และกำลังถังแตกสุดๆ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาหวนกลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง
คำอธิบายภาพ: การกลับมาอีกครั้งในอีก 23 ปีต่อมาในชื่อ T2
และเมื่อผ่านพ้นเรื่องราววายป่วงเกือบเอาชีวิตไม่รอดใน T2 ดูเหมือนว่า Renton จะค้นพบคำตอบบางอย่าง เขาเคย “เลือก” เส้นทางชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งสุดท้ายไม่เป็นดังหวัง ครั้งนี้เขาจึง “เลือก” อีกครั้ง ด้วยคำตอบที่ต่างออกไป Renton ตัดสินใจลงหลักปักฐานที่บ้านเกิด กลับไปอาศัยอยู่กับพ่อ กระชับความสัมพันธ์ที่เคยห่างเหิน เริ่มสร้างชีวิตใหม่ในเมืองแห่งนี้ เช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ต่างก็เลือกชีวิตของตัวเอง ถึงแม้บางคนจะยังยืนยันคำตอบเดิมก็ตาม เรื่องราวจบลงตรงนี้ ไม่มีคำตอบว่าคราวนี้ Renton เลือกชีวิตของเขาได้ถูกต้องหรือไม่ แต่สิ่งที่ผู้กำกับอย่าง Danny Boyle อยากบอกผู้ชมก็คงเป็นประโยคสั้นๆ ว่า “ไม่ว่าเมื่อไร คนเราเลือกชีวิตของตัวเองได้เสมอ”
WATCH