ย้อนรอย 25 ปี...ภาพยนตร์ TITANIC กับพล็อตความรักแสนน้ำเน่า ที่พวกเรายังคงดูวนซ้ำไปซ้ำมา

     ย้อนกลับไปเมื่อปี 1998 ภาพยนตร์รักสุดอมตะที่สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงอย่าง TITANIC เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก พร้อมดึงดูดความสนใจจากเหล่าคอหนังไปได้อย่างล้นหลาม สร้างสถิติด้วยการกวาดรางวัลออสการ์ไปมากถึง 13 รางวัล ไม่ว่าจะเป็นสาขาใหญ่ที่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมให้กับ James Cameron, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมให้กับ Kate Winslet และอีกมากมาย นอกจากนี้ภาพยนตร์รักตลอดกาลเรื่องนี้ยังได้แจ้งเกิด 2 สิ่งสำคัญระดับโลก หนึ่งคือ นักแสดงชายอย่าง Leonardo DiCaprio ที่กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ทันที และอีกหนึ่งคือเพลง My Heart Will Go On ของดีว่าหญิง Celine Dion ที่ยังคงติดหูคนดูมาจนถึงทุกวันนี้ และกลายเป็นหนึ่งในเพลงรักที่ได้รับการยอมรับตลอดกาลอีกด้วย

     ภาพยนตร์เรื่อง TITANIC ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเหล่าคอหนังและคนทั่วไปที่มักจะวนกลับไปดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เพียงแค่เพราะพล็อตเรื่องที่เกี่ยวกับความรักของตัวละครต่างชนชั้น ระหว่างหญิงสาวสูงศักดิ์ครอบครัวถังแตก ที่กำลังจะถูกจับใส่ตะกร้าล้างน้ำส่งให้เศรษฐีหนุ่มอเมริกัน กับหนุ่มวัยรุ่นต่ำศักดิ์ที่มีความกล้าได้กล้าเสียกับความรักแรกพบในครั้งนี้ ด้วยการเอาชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน แต่อีกสิ่งที่ทำให้หลายคนติดภาพยนตร์นี้งอมแงม แม้ว่าจะผ่านมากว่า 2 ทศวรรษแล้วก็ตาม ก็เห็นจะหนีไม่พ้นการดำเนินเรื่องของไททานิกที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมืิอนแค่หนังรักทั่วไปที่นำเสนอความรักแสนน้ำเน่า ที่ถูกกีดกันจากครอบครัวฝ่ายหญิงเท่านั้น ทว่าเค้าโครงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นจริง ที่ถูกนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างนั้น คือส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าลุ้นและสนุกขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ เพราะคนดูไม่เพียงจะได้ลุ้นกับความรักที่จะสมหวังหรือไม่จากการกีดกันของครอบครัวฝ่ายหญิง แต่คนดูยังจะได้ลุ้นถึงการรอดชีวิตของตัวละครหลักในเรื่องอีกด้วย ราวกับว่าได้ดูภาพยนตร์รักโรแมนติกและภาพยนตร์ทริลเลอร์ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั่นเองคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้มวลความรู้สึกหลังดูจบมีความอิ่มเอมทุกครั้ง

     นอกจากนี้ การดึงเอาส่วนผสมแรงบันดาลใจจาก ‘เรื่องจริง’ มาผสมผสานไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การสร้างมราส่งให้ไททานิกยังคงถูกพูดถึงมานานกว่า 20 ปีจนทุกวันนี้ อนึ่งประวัติศาสตร์ของเรือไททานิกที่อัปปางกลางทะเลยังคงเป็นเรื่องที่ทุกคนบนโลกยังคงให้ความสนใจเสมอมา และอีกหนึ่งเค้าเรื่องจริงคือ Hope Diamond ที่ปรากฏในตอนท้ายของภาพยนตร์เรื่องนั้น ที่เอาเอาหลายคนตกตะลึงจนต้องไปตามหาความจริงหลังจากภาพยนตร์จบลง ทำให้ภาพยนตร์นี้ไม่เคยล้าสมัย เพราะจพถูกอ้างอิงถึงเรื่องราวเหล่านี้เสมอมา หรือกระทั่งทฤษฎีการรอดชีวิตของตัวละครแจ็คที่ได้รับการถกเถียงเสมอมา จนล่าสุด เจมส์ คาเมรอน ตั้งใจจะทำสารคดีแสดงให้เห็ชัดๆ เลยว่า ‘ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แจ็คก็ไม่มีทางรอดอยู่ดี’

     ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงคำชื่นชมท่วมท้นเกี่ยวกับโปรดักชั่นเบื้องหลัง และงานถ่ายภาพยอดเยี่ยมที่ได้รับการการันตีจากรางวัลออสการ์ ที่ส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล และคุ้มค่าที่จะเสียเวลากลับไปดูอีกหลายๆ รอบ