LIFESTYLE

เมื่อเรื่องของ 'การประกวดนางงาม' เกี่ยวข้องกับ 'การเมือง' อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

หมดยุคที่นางงามจะมาตอบคำถามการเมืองแบบโลกสวยกันแล้ว ถึงเวลากล้าที่จะพูด "ความจริง" เสียที!

     ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา มารีญา พูลเลิศลาภ ตัวแทนสาวไทยที่ได้เดินทางไปเข้าประกวดบนเวทีมิสยูนเวิร์ส จนสามารถทะลุเข้าไปในรอบ 5 คนสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งรอบ 5 คนสุดท้ายในเวลานั้น มารีญาต้องเจอกับคำถามสุดหินที่ว่า “อะไรคือการเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดในรุ่นของคุณ...” ที่แม้ว่าเธอจะตอบคำถามนั้นได้ไม่แย่ หากก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจของคณะกรรมการมากพอ ที่จะให้เธอผ่านเข้าไปลุ้นมงกุฎในรอบ 3 คนสุดท้ายอยู่ดี (แต่ตอนนี้เธอก็แสดงให้เห็นโดยชัดเจนแล้วว่า เธอเชื่อในจุดยืนเรื่องการเคลื่อนไหวของเยาวชนอย่างแท้จริง) หรือหากจะย้อนกลับไปใกล้ๆ เมื่อปีที่ผ่านมา กับเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์สประจำปี 2019 ที่ประเทศไทยได้ตัดสินใจส่ง ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น เข้าชิงชัยในครั้งนั้น จนต้องพบชะตากรรมเดียวกันกับนางงามรุ่นพี่ กับคำถามการเมืองที่ว่า “ระหว่าความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากัน...” หลังจบการประกวดในครั้งนั้น ถึงแม้ว่าหลายคนจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา หากคำตอบแนวประนีประนอมแบบนักการฑูตของฟ้าใส ก็ยังไม่ต้องใจคณะกรรมการเช่นเคย

 

 ขอบคุณข้อมูล : acare world

 

     ดังนั้นคุณหลายคนก็คงจะพอนึกภาพออกได้แล้วว่า ในปัจจุบันนี้เวทีการประกวดนางงามระดับโลกไปไกลมากกว่าแค่ “รักเด็ก” อย่างที่ตลกคาเฟ่เอาไปล้อเลียนกันเป็นไหนๆ ความเป็นนางงามถูกผูกโยงกับการเมือง และสังคมโลกโดยสมบูรณ์แบบแล้วเป็นที่เรียบร้อย จนกลายเป็นเกณฑ์สุดหินครั้งใหม่ที่หลายประเทศต้องห้ำหั่น และขับเขี้ยวกันอย่างถึงที่สุดเพื่อเฟ้นหาตัวแทนภายในประเทศ

     เฉกเช่นการประกวด Miss Universe Thailand ประจำปี 2020 ที่แสดงให้เราได้เห็นชัดเจนว่าตัวองค์กรเองต้องการสร้าง “ความกล้าที่จะปริปากเรื่องการเมืองอย่างตรงไปตรงมา” ให้กับนางงามไทย ด้วยการเซอร์ไพรส์เหล่านางงาม และแฟนคลับถึง 2 รอบ เริ่มด้วยการเฟ้นหาผู้เข้ารอบ 30 คนสุดท้ายจากการพูดสุนทรพจน์ด้วยการสุ่มคำสำคัญ ไปจนถึงรอบเปิดตัวทั้ง 30 คน ที่สุ่มคำสำคัญให้คู่ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 15 คู่ได้โต้วาทีแบบย่อมกันต่อหน้าสาธารณชนกลางไอคอนสยาม นั่นจึงเป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่า ในบริบทการประกวดนางงามระดับโลกที่ต้องการเฟ้นหา “Spokeperson” นั้น ทักษะ และความกล้าที่จะพูดเรื่องการเมืองของตัวนางงามนั้นต้องตีคู่สูสีมากับความสวยภายนอกก็ไม่ปาน อีกทั้งการจัดประกวดรอบ “การพูด” ขึ้นมานั้น ยังทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า แฟนนางงามก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองบนเวทีนางงามไม่น้อย ขนาดที่ว่า “ม้ามืด” หลายคนที่ได้โอกาสพูดถึงเรื่องการเมือง ยังเบียด “ตัวเต็ง” หลายคนตกกระป๋องไปตามๆ กัน กระนั้นคำตอบด้านการเมืองของสาวๆ ม้ามืด ก็หาใช่คำตอบการเมืองในมิติของการปลอบประโลมโลก หรือวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เหมือนสมัยก่อนไม่ หากเป็นการสาวเอา “ความจริง” ออกมากางให้ประชาชนได้เห็นท่ามกลางสาธารณะ กระตุ้น และสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม จึงสะท้อนให้เห็นได้อีกว่า “คำตอบคำถามแบบนางงาม” มันล้าสมัย และตกยุคไปแล้ว การที่นางงามหลายคน ยังวนเวียน หรือติดอยู่กับความคิดโลกสวยแบบเดิมๆ ดูเหมือนจะไม่ตอบโจทย์เวทีประกวดนางงามอีกต่อไป

     เห็นได้จากการประกวด Miss Grand Thailand ประจำปี 2021 ที่ล่าสุดสาวงามจากจังหวัดระนองก็ได้ครองตำแหน่งอันสูงสุดไป ด้วยคำตอบที่ตรงแสนตรง เมื่อถูกตีแสกหน้าด้วยคำถามที่ว่า “จากสถานการณ์ของผู้ชุมนุมขณะนี้ ส่อเค้าความรุนแรงยิ่งขึ้น หากคุณมีโอกาสได้พูดคุยอยากจะพูดกับฝ่ายใด ระหว่างผู้ชุมนุม หรือรัฐบาล และพูดอะไรเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น” ก่อนที่เธอจะพ่นคำตอบอย่างกล้าหาญต่อหน้าผู้คนนับหมื่นนับพันอย่างไม่ยี่หระว่า “จากใจนะคะ ขอเลือกฝ่ายชุมนุม เพราะว่าเรามีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็น และเราอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติของเรา มากกว่านั้นอยากจะบอกรัฐบาลด้วยว่า “ If you calling as Thailand, We need the real democracy, and moreover, we need you to get out of the country. Thank you”  จนทำให้เธอไปถึงมง และได้รับเสียงชื่มชมจากแฟนนางงามยกใหญ่ แม้จะมีกระแสลบตามมาเป็นเงาด้วยเช่นกัน แต่นั่นคือเส้นทางที่เธอเลือกแล้ว ซึ่งนี่เองคือหมุดหมายการเปลี่ยนแปลงสำคัญบนเวทีนางงามไทย

 

ขอบคุณข้อมูล : PAGEANT

 

     แล้ว “นางงามควรเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่...” ก็คงจะต้องตอบว่า “ควร” อย่างยิ่ง เพราะทุกเรื่องนับเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ทุกมิติของชีวิตประจำวันที่ใช้อยู่ในเวลานี้ก็เกี่ยวข้องกับการเมืองในหลายมิติอย่างปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งบริบทของนางงามในปัจจุบันมิได้ประกวดไปเพื่อหาตัวแทนคนสวยอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว หากการประกวดนางงามในปัจจุบันคือการหา “Spokeperson” ซึ่งเป็นคนที่จะพูดแทน เป็นกระบอกเสียง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคคลทั่วไปได้ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาให้รอบคอบแล้ว เราก็จะเข้าใจว่า “เวทีการประกวดนางงาม” เปรียบเสมือนกระจกสะท้อน “ค่านิยม” สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมโลกที่โคจรผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละยุคสมัย สังเกตได้ง่ายในยุคที่ “นางงามต้องสวยมีผมสีบลอนด์ และนัยน์ตาสีฟ้า” ก็เป็นยุคเดียวกันกับที่ค่านิยมความงามแบบยุโรป และละตินกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญของโลกใบนี้ หรือยุคที่ “นางงามต้องรักเด็ก” ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โลกกำลังให้ความสำคัญกับเด็ก และเยาวชนที่กำลังจะเติบโตมาเป็นอนาคตอย่างเต็มที่ กระทั่งตอนนี้ที่ “นางงามต้องกล้าพูดเรื่องการเมือง” ก็เพราะว่าค่านิยมโลกที่กำลังถกเถียงถึงเรื่องการเมืองกันอย่างเปิดเผย และเป็นวงกว้างอย่างไม่ต้องสงสัย และเหนือสิ่งอื่นใด “ในฐานะของพลเมืองคนหนึ่ง” ตัวนางงามเองควรที่จะตระหนักถึงข้อนี้ให้มากว่า เราสามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซึ่งเป็นตัวแทนที่เราโหวตเลือกเข้าไปนั่งในสภาได้ ด้วยเสียงของตัวเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และกล้าหาญ



WATCH




ขอบคุณภาพ : Miss Universe Thailand

 

     กระนั้นก็อาจจะสรุปได้ว่า “การประกวดนางงามยุคใหม่” เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ และก็คงจะหมดยุคของคำตอบนางงามสวยหรูในทุ่งลาเวนเดอร์แล้วอย่างสิ้นซาก มีเพียงความจริงเท่านั้นที่นางงามต้องตามให้ทัน และเอาออกมาแบให้เห็นผ่านคำตอบที่ต้องทั้งกินใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทุกชนชั้น ซึ่งนับเป็นเรื่องดีเสียอีกที่เวทีนางงามจะได้สร้างมาตรฐานใหม่เกี่ยวกับเรื่องของการเมือง ให้กลายเป็นเรื่องที่เราต้องร่วมกันสร้างไม่ว่าใครก็ตาม และนั่นเองที่จะทำให้เวทีนางงามใกล้โลกจริงมากยิ่งขึ้น สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั่วไปให้ได้เอื้อมถึงจริงๆ ด้วยชุดความคิดร่วมกันในเรื่องเดียวกันกับสังคมที่แม่ค้าร้านตลาด ชาวบ้านทั่วไปกำลังพบเจอ

     ดังนั้นแล้วสิ่งที่ผู้เขียนคงจะต้องทิ้งท้ายเอาไว้ในบทความนี้ก็คงจะเป็นประโยคที่ว่า "การเป็นนางงามยุคนี้ก็ไม่ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน"...

WATCH