จากประเด็นร้อน Kit Connor สู่คำถาม 'เราได้อะไรจากการกดดันให้คนๆ หนึ่งออกมา Come Out'

     ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเคสตัวอย่างของกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ ‘Queerbaiting’ ก็ว่าได้ สำหรับการออกมาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ของนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งอย่าง Kit Connor ด้วยความไม่เต็มใจ หลังจากที่ถูกกดดันอย่างหนักจากกระแสการหากินและหาประโยชน์จากชื่อเสียงอย่างไม่เป็นธรรมจากคอนเทนต์แนวรักร่วมเพศ โดยคิตได้โพสต์ตัดพ้อเอาไว้ว่า “เดี๋ยวก่อนนะ ผมเป็น Bisexual ยินดีด้วยนะกับการกดดันให้เด็กอายุ 18 ต้องออกมาเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ผมคิดว่าพวกคุณหลายคนไม่เข้าใจจุดประสงค์จริงๆ ของซีรี่ส์ บาย”

     (สามารถตามไปทำความรู้จักกับนักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง Kit Connor แบบเต็มๆ ได้ที่ https://www.vogue.co.th/fashion/article/kit-connor-heartstopper-series-netflix)

     ความน่าสนใจของกรณีการออกมาคัมเอาต์ของคิตในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นการถูกกดดันจากกระแสของเหล่าแฟนคลับบนโลกโซศเชียลมีเดีย ลากยาวมาตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มเล่นซีรี่ส์สุดโด่งดัง Heartstopper ที่ฉายบน Netflix หรือแม้กระทั่งเมื่อครั้งที่มีภาพหลุดจับมือกับสาวนิรนามที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก็ยิ่งทำให้กระแสการตั้งคำถามถึงประเด็น Queerbaiting ต่อตัวของคิตนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กดดันให้เขาต้องออกมาตอบคำถาม หรือแสดงความรับผิดชอบต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว

     ทว่าเมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ผู้เขียนกลับมีคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจว่า ‘นี่เป็นเรื่องสมควรแล้วหรือ ที่เราจะออกมากดดันคนๆ หนึ่งให้ออกมา Come Out ต่อพื้นที่สาธารณะ ทั้งๆ ที่เขาไม่เต็มใจ ในขณะที่การคัมเอาต์เป็นเรื่องที่ควรสงวนเอาไว้เป็นเรื่องส่วนตัวของปัจเจกบุคคล’ และ ‘สังคมจะได้อะไรนอกจากความสะใจ จากการกดดันคนๆ หนึ่งในออกมาคัมเอาต์ตามความต้องการของตัวเอง’

     สิ่งที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจ และไม่เคยพยายามจะทำความเข้าใจเลยก็คือ การตัดสินใจออกมาคัมเอาต์ของกลุ่มคน LGBTQ+ นั้นไม่ได้ง่าย หรือเป็นไปตามที่ใครๆ วาดฝันเอาไว้เสมอไป มีคนหลายคนที่ยินยอมพร้อมใจออกมาคัมเอาต์ และประกาศตำแหน่งแห่งหนของตัวเองให้โลกใบนี้ได้รู้ อาจเนื่องด้วยสังคมรอบข้างของเขาศิวิไลซ์มากพอที่จะเข้าใจ และยอมรับได้ในความหลากหลาย อันเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ทว่าก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการที่จะออกมาคัมเอาต์บนพื้นที่สาธารณะ หรือประกาศให้โลกได้รู้ว่าเขาเป็นใคร ก็เพราะเขาแค่อาจจะอยากเลือกอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิตเรียบนิ่งตามประสา หรือแม้แต่สังคมรอบข้างของเขาก็อาจจะด้อยอารยะเกินกว่าจะยอมเข้าใจได้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ชายที่มีจู๋ หรือผู้หญิงที่มีจิ๋มเท่านั้น อีกทั้งวิถีการคัมเอาต์ที่ทุกคนต้องตระหนักให้มากอีกประการก็คือ ‘วิถีหลังการคัมเอาต์’ ของแต่ละคนที่ต้องพบเจอนั้นต่างกัน ซึ่งเราไม่อาจทราบได้เลยว่า หลังจากการตัดสินใจเลือกประกาศตัวตนของเขาแล้วว่าเขาเป็นใครต่อพื้นที่สาธารณะ เขาคนนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้างในชีวิต

     เฉกเช่นเดียวกับกรณีของ คิต คอนเนอร์ ผู้น่าสงสารที่ต้องออกมาคัมเอาต์ต่อหน้าสาธารณะด้วยความไม่เต็มใจ เพียงเพื่อต้องการตอบสนองความสะใจของกลุ่มแฟนคลับที่อ้างเอาประเด็น Queerbaiting โดยไม่รู้ขอบเขตมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันให้เด็กอายุ 18 ปีต้องออกมาแสดงท่าทีกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น ที่น่าฉุกคิดต่อว่ามันคุ้มแล้วหรือไม่...

     ท้ายที่สุดแล้วเราไม่อาจรับรู้ได้เลยว่า หลังจากที่คิต คอนเนอร์ โพสต์ข้อความทิ้งระเบิดพลีชีพว่าตัวเองเป็นไบเซ็กชวลลงบนบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัวไปแล้วนั้น (ด้วยความไม่เต็มใจ แต่โดนกดดันจากเหล่าแฟนคลับ) หลังไมค์จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง สายตาของคนรอบข้างที่อาจมองเขาเปลี่ยนไป เพื่อนฝูงที่อาจไม่โอบรับเขาได้อย่างเต็มกอดเท่าเดิม หรือกระทั่งครอบครัวที่ฟูมฟักเขามาตั้งแต่เด็กอาจหันหลังให้เขา ไม่มีใครรู้ได้ เพราะสำหรับคนดูแล้ว ทุกอย่างก็จบลงแค่กระแสข่าวว่อนเน็ตเท่านั้น นั่นเองจึงเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนควรหันกลับมาถามตัวเองให้แน่ใจว่า สังคมได้อะไรจากการทำเช่นนี้ และประเด็น Queerbaiting อันละเอียดอ่อน ควรถูกถกเถียงและวิพากษ์ให้เป็นวงกว้างถึงมิติของขอบเขตมากกว่านี้หรือไม่