Gyeongseong Creature สะท้อนภาพอำนาจ การเห็นต่าง และวาทะเชิงการเมืองได้อย่างแยบยล

     Gyeongsong Creature คือซีรี่ส์ยอดนิยมทันทีตั้งแต่เริ่มเข้าฉายบนแพลตฟอร์มเน็ตฟลิกซ์ แท้จริงแล้วได้รับความสนใจตั้งแต่ประกาศโปรเจกต์เรื่อยมาจนถึงช่วงโปรโมตเลยทีเดียว ส่วนสำคัญที่ทำให้กระแสความนิยมพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องคืออิทธิพลจากนักแสดงนำอย่าง Park Seo-joon และ Han So-hee ที่มีฐานแฟนคลับล้นหลามจากทั่วโลก ถ้าเรียกว่านี่คือซีรี่ส์เกาหลีส่งท้ายปลายปีที่ทุกคนรอคอยก็ไม่ผิด แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือเนื้อเรื่องอันเข้มข้น หากใครได้ชมจะพบว่าสัตว์สยองกยองซองมีการสอดแทรกเนื้อหาอิงตามหลักสังคมปัจจุบันแม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ตาม

     ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องคือการใช้เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นหลักเกณฑ์อ้างอิงเพื่อสร้างเส้นเรื่องเหนือจริงขึ้นมาใหม่ รูปแบบความขัดแย้งและตกอยู่ภายใต้อำนาจจักรวรรดิญี่ปุ่นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้การเมืองทำหน้าที่เหมือนกรอบวงกลมล้อมรอบเนื้อเรื่องทั้งหมดไว้ ประเด็นการตามหาคนและนำเสนอผ่านมุมมองของบุคคลแต่ละประเภทที่มีความแตกต่างกันก็หลากหลาย สะท้อนสังคมจริงที่มีแนวคิดและแรงผลักดันให้เกิดการกระทำที่ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล อันเชื่อมโยงถึงปูมหลังชีวิตที่หล่อหลอมมาอย่างยาวนาน

     รูปแบบของความขัดแย้งเกิดขึ้นในเชิงอำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เราจะเห็นว่าชนชั้นปกครองมีอำนาจในการกดขี่ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่เสมอ ในเรื่องนี้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นที่มีบทบาทเหนือกว่าคนท้องถิ่นที่ถูกปกครอง พวกเขานอกจากจะถูกกฎระเบียบกีดกันเรื่องสิทธิ์ ยังถูกบีบบังคับผ่านกลไกทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการทำมาหากิน ความเกรงกลัวต่อพลังอำนาจ รวมถึงถูกลิดรอนตัวตนด้านเผ่าพันธุ์และชนชาติ นับเป็นวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ และซีรี่ส์เรื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาด้วยการคลุกเคล้าไปกับเส้นเรื่องหลักได้อย่างแนบเนียน

     อีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดการถกเถียงเชิงการเมืองคือความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนที่ปลีกตัวใช้ชีวิตแบบปัจเจกบุคคลกับกลุ่มคนที่รวมกันในฐานะคนของชาติ เรื่องนี้ยังคงเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย เพราะปัจเจกบุคคลบางกลุ่มต้องการใช้ชีวิตที่ตนเองต้องการและพร้อมรับความเสี่ยงของตัวเอง แต่พวกเขากลับถูกมองว่าไม่รักชาติ หรือฉกฉวยผลประโยชน์เพื่อตัวเองในยามที่ประเทศชาติลำบากยากเข็ญ พวกเขาจึงถูกตีตราว่าเป็นพวก “Ignorant” ทั้งๆ ที่พวกเขาเลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตแบบหนึ่ง การต่อสู้รวมกลุ่มเพื่อชาติอาจเป็นหนทางหรือความเชื่อที่อีกฝ่ายต้องการ บางครั้งต้องการมากจนใช้กรอบความคิด คำพูด หรือพฤติกรรมบางอย่างมาบีบบังคับกันทางอ้อม

     การชี้หน้าว่าตัวเองถูกเสมอและคนอื่นที่คิดไม่เหมือนตัวเองผิดด้วยการอ้างความชอบธรรมอันเลื่อนลอย เราจะเห็นฉากปะทะคารมที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความคิดอันคับแคบ ความไม่ไว้วางใจที่ได้รับมาจากอดีตเบื้องหลังชีวิตของคนๆ หนึ่ง บางครั้งพฤติกรรมบางอย่างไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เพียงแค่มันไม่ได้ถูกพิจารณาหรือตัดสินด้วยบรรทัดฐานอันเป็นกลางเสียมากกว่า กลุ่มคนรักชาติในฉากหนีตายสุดลุ้นระทึกกำลังพยายามหาความชอบธรรมเพื่อปฏิเสธความผิดพลาดของตัวเองที่จางแทซังเคยย้ำเตือนไว้ก่อนหน้า เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรูปแบบการมองโลกความขัดแย้งเชิงการเมืองที่มีความน่าสนใจเกี่ยวกับความชอบธรรมที่มาจากมาตรฐานตัวปัจเจกบุคคล ไม่ใช่มาตรฐานองค์รวมของสังคม

     อีกหนึ่งความน่าสนใจคือการที่ซีรี่ส์เรื่องนี้นำเสนอความขัดแย้งเชิงการเมืองและการตัดสินใจของมนุษย์ได้หลากหลายระดับ ฉากสำคัญคือที่จางแทซังและยุนแชอ๊กมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หลายครั้งที่คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดใช้ความเป็นองค์รวมมาเป็นแกนหลักที่ชวนให้คิดว่า “พวกเดียวกันต้องคิดแบบเดียวกัน” ซึ่งในความเป็นจริงคนในกลุ่มเดียวกันไม่ว่าจะสนิทชิดเชื้อเพียงใดก็อาจมีความเห็นต่างได้เช่นกัน และการเห็นต่างก็ไม่ได้หมายถึงการไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันเสมอไป สะท้อนภาพความจริงในสังคมที่บางครั้งคนเห็นต่างอาจถูกผลักไสไปทั้งทางตรงและทางอ้อม ทว่าความจริงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกับวิธีหรือชุดความคิดบางอย่างโดยสิ้นเชิง ซีรี่ส์สัตว์สยองกยองซองสามารถเล่าเรื่องในประเด็นเหล่านี้ผ่านบทสนทนาของตัวละครได้อย่างลื่นไหล ถือเป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ภายในเรื่องและพร้อมให้ผู้ชมตระหนักคิดถึงเรื่องนี้ที่เชื่อมโยงกับโลกความจริง ณ ปัจจุบันได้อย่างยอดเยี่ยม