Grimes โดนวิจารณ์สนั่นหลังออกโรงว่า Lizzo เป็นคนดีและไม่น่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ได้

     Lizzo จากเดิมคือเป็นศิลปินที่ได้รับความนับถือในเรื่องการสร้างพลังเพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมในหลากหลายด้าน สร้างอิทธิพลในการต่อต้านการเหยียดและเลือกปฏิบัติ ทว่าเหตุการณ์น่าตกใจก็ถูกเปิดเผยเมื่ออดีตแดนเซอร์ออกมาฟ้องร้องเกี่ยวกับพฤติกรรมอันย้อนแย้งของลิซโซ่จนกลายเป็นข่าวใหญ่โต นับว่าเป็นเรื่องช็อกประจำปี 2023 เรื่องหนึ่งในอุตสาหกรรมบันเทิงเลยก็ว่าได้ (อ่านเรื่องราวฉบับเต็มได้ ที่นี่) ทว่าสำหรับศิลปินบางคนกลับออกมาพายเรือทวนน้ำจนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และสร้างความฉงนให้กับผู้เสพข่าวอย่างยิ่งว่าเธอกำลังอ้าแขนปกป้องศิลปินผู้กระทำผิดหรือไม่

     Grimes ศิลปินสาวมาดเท่ผู้เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตดั่งรถไฟเหาะ ตลอดระยะเวลาบนเส้นทางสายดนตรีเธอมีข่าวคราวทั้งดีและแย่ปะปนกันไปอยู่เรื่อย ตอนนี้ดูเหมือนว่ารถไฟเหาะกำลังจะดิ่งสู่ช่วงตกต่ำลงอีกครั้งเมื่อเธอออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวอื้อฉาวของลิซโซ่ในชนิดสวนกระแสน้ำเชี่ยว โดยไกรมส์ออกมาเผยถึงประสบการณ์ส่วนตัวและแง่มุมความคิดที่มีต่อศิลปินที่กำลังเป็นข่าว ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวเหมือนจะมีทิศทางเป้าหมายในการช่วยเหลือปกป้องจนเกินพอดี ถึงแม้จะยังไม่มีข้อสรุปเรื่องคดีความแต่ ณ ตอนนี้ข่าวใหญ่โตเป็นกระแสที่ไม่ควรสวนยามนี้จริงๆ

Grimes (ซ้าย) และ Lizzo (ขวา) ร่วมทำเพลงกันก่อนทั้งคู่จะโด่งดัง / ภาพ: @lizzobeating

     “เรื่องความจงรักภักดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉัน ลิซโซ่ใจดีกับฉันและคนอื่นๆ มาเป็นเวลานับทศวรรษก่อนที่เธอจะดังเสียอีก เธอใส่ใจฉันตลอดในวันที่ไม่มีใครแคร์ ฉันเคยสัมผัสแต่พฤติกรรมอันน่ายกย่องจากเธอมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ทุกคนเกลียดฉัน เธอคือบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ข้อความส่วนหนึ่งของไกรมส์ที่พูดเชิงบวกกับลิซโซ่ท่ามกลางกระแสข่าวเชิงลบ นอกจากนี้เธอยังเผยความคิดเห็นส่วนตัวว่า “ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉันเบื่อหน่ายกับวัฒนธรรมที่พยายามทำลายคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และปิดท้ายว่า “ลิซโซ่น่าทึ่งมาก”

     เรื่องราวดังกล่าวทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าลิซโซ่อาจจะแสดงพฤติกรรมดีเพราะเป็นเพื่อนร่วมวงการและไกรมส์เองก็มีชื่อเสียงพอสมควรในวงการและอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นการออกมาเผยมุมมองของตัวเองเพื่อสยายปีกปกป้องลิซโซ่แบบอ้อมๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเชื่อมโยงกับเหตุการณ์การกดขี่และแสดงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจต่ออดีตแดนเซอร์สักเท่าไหร่ ถึงกระนั้นไกรมส์ก็ตอกสวนกลับว่าลิซโซ่ดีกับเธอก่อนที่เธอจะดัง ก่อนที่จะมีใครสนใจทั้งคู่เสียอีก ในช่วงเวลาลำบากที่เธอโดนสังคมแคนเซิลหรือช่วงกำลังตั้งท้อง ลิซโซ่ก็เป็นคนเข้ามาแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ดังนั้นการที่บอกว่าลิซโซ่ทำดีด้วยเพราะปัจจัยร้อยแปดอาจไม่ใช่สิ่งที่ไกรมส์เห็นด้วย

Grimes และ Elon Musk ที่จบลงด้วยรักร้าว และเธอเองก็อ้างอิงเปรียบเทียบประเด็นนี้กับความดีงามของ Lizzo ด้วย / ภาพ: The New Yorker

     แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมตกเป็นเป้าวิจารณ์อย่างหนักหน่วง เนื่องด้วยเรื่องราวการกระทำของลิซโซ่ค่อนข้างรุนแรงและถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางจากสำนักข่าวใหญ่ชั้นนำทั่วโลก การออกแบบขวางทางความขุ่นเคืองของคนในสังคมจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี การออกมาแสดงความคิดเห็นที่มีลักษณะคล้ายการปกป้องทางอ้อมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับศิลปิน หลายครั้งเพื่อนศิลปินออกมาให้กำลังใจและพยายามมองในแง่ดี ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะจริงเพราะต้องรอข้อพิสูจน์และการตัดสินความยุติธรรมอย่างเป็นทางการ ทว่าการออกมายืนหยัดเช่นนี้มีพลังแฝงคือการบ่ายเบี่ยงความสนใจและทำให้ประเด็นการเรียกร้องถูกกลบปิดอย่างแนบเนียน

     เมื่อศิลปินช่วยกันเองแล้วใครจะช่วยคนที่มีอิทธิพลด้อยกว่า คำถามนี้สำคัญอย่างมากต่อเหตุการณ์ประเภทนี้ อดีตแดนเซอร์รวมพลังกันยังไม่ได้มีชื่อเสียง อิทธิพล หรือทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่จะต่อสู้กับศิลปินระดับโลกได้เลย การสนับสนุนของศิลปินด้วยกันจึงไม่เป็นผลดี เมื่อก่อนเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่ปัจจุบันการกระทำดังกล่าวไม่อาจเป็นที่ยอมรับและผู้คนมองเห็นแก่นแท้ความยุติธรรมมากขึ้น ภาพลักษณ์ที่สร้างให้คนเชื่อแม้อาจเคยปฏิบัติจริงก็ตาม ไม่สามารถปกปิดหรือปัดป้องความผิดให้พ้นตัวได้อีกต่อไป ต้องขอบคุณแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนรวมพลังกันเพื่อคนด้อยกว่าสามารถรวมพลังเพื่อต่อสู้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ความจริงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง

ส่วนหนึ่งในคำแถลงของ Lizzo ที่โพสต์ลงบนอินสตาแกรมและถูกวิจารณ์ต่อว่าบ่ายเบี่ยงและไม่ได้ชี้แจ้งอะไรที่ชัดเจน / ภาพ: @lizzobeating

     การเปรียบเทียบประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน เชื่อว่าทุกคนอาจเคยได้ยินคำว่า “ลูกน้อยไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน” คำกล่าวนี้สามารถดัดแปลงมาใช้กับเหตุการณ์นี้ได้อย่างเหมาะเจาะ ลิซโซ่อาจเป็นคนดีสำหรับไกรมส์ แต่อาจไม่ใช่คนดีสำหรับผู้อื่น หรือเนื้อแท้อาจเป็นคนดีแต่ประพฤติไม่ดีในช่วงเวลาหนึ่งในแบบที่ไม่สามารถรับได้ ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวถ้าอดีตแดนเซอร์ถูกกระทำตามเนื้อข่าวจริง ก็เข้าข่ายวลีอมตะ “ลูกฉันเป็นคนดี” เวลาครอบครัวอาชญากรเชื่อในตัวลูกหรือวงศาคณาญาติว่าเป็นคนดี เพราะกระทำดีและน่ารักต่อตัวเอง ทว่าคนนั้นกลับกระทำผิดต่อผู้อื่นและสังคม หากเทียบกันแบบนี้คงจะเห็นชัดว่าปัญหาของการอ้าแขนปกป้องยิ่งส่งผลเสียมากขึ้นไปอีกระดับ

     ณ ตอนนี้ (7 สิงหาคม 2023) ยังไม่มีอัปเดตความคืบหน้าเกี่ยวกับการฟ้องร้องเพิ่มเติมเท่าไหร่นัก เรื่องราวของอดีตแดนเซอร์ลิซโซ่ยังคงถูกพูดถึงและถกเถียงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น ความเชื่อและประสบการณ์ของไกรมส์ไม่ได้ถูกนำมาคิดพิจารณาอยู่แล้วในเชิงความยุติธรรม การจะบอกว่าเป็นคนดีมาตลอดแล้วกระทำผิดเพียงครั้งเดียวก็ไม่ถูกนัก เพราะสุดท้ายวลี “บุญลบบาปไม่ได้” ก็ยังคงปรากฏให้เห็นเด่นชัดเสมอ การกระทำของไกรมส์อาจเป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นว่าการอ้าปีกเพื่อปกป้องหรือบ่ายเบี่ยงประเด็นการกระทำผิดเป็นสิ่งที่ล้าหลังไปแล้ว การใช้อำนาจและอิทธิพลที่มียิ่งสร้างผลเสียมากขึ้น ไม่ใช่แค่กับลิซโซ่ เพราะไกรมส์จะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ถูกพูดถึงด้วยปฏิกิริยาเชิงลบเช่นกัน

ภาพสุดท้ายบนอินสตาแกรมของ Lizzo ก่อนเกิดเหตุการณ์ฟ้องร้อง ซึ่งนำมาสู่คอมเมนต์ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงลบในภาพนี้มากมาย / ภาพ: @lizzobeating

     ในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนภาพแนวคิดของไกรมส์ในเชิงบวกอยู่บ้าง เธอเชื่อมั่นในแนวคิด “จนกว่าจะพิสูจน์ว่าผิด” หลายครั้งผู้คนร่วมด่าทอหรือเกลียดชังใครคนหนึ่งจากการถูกกล่าวหาฟ้องร้อง และพร้อมจะทับถม นี่ก็เป็นความจริงอีกด้านเช่นกัน ความตั้งใจของไกรมส์อาจมองเห็นว่าลิซโซ่ต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความจริง วลี “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ” ของเธอก็พอจะตีความมาทางนี้ได้เหมือนกัน แต่เนื่องด้วยกระแสข่าวมาจากสำนักข่าวใหญ่ระดับโลกมากมาย ผู้คนจึงปักใจเชื่อก่อนจะมีคำตัดสินเสียอีก กรณีคล้ายกับ Mason Greenwood นักฟุตบอลชาวอังกฤษที่ถูกแบนและสาปส่งชนิดไม่เผาผี ทว่าเมื่อคำตัดสินระบุว่าเขาไม่มีความผิด ทุกสิ่งที่เขาเสียไปตอนนี้ก็ไม่มีใครรับผิดชอบและมอบคืนมา เหตุการณ์ของเมสันและลิซโซ่ก็อาจจบลงในทำนองเดียวกัน ความเป็นไปได้ตรงนี้ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว

     เรื่องราวนี้ใหญ่โตไปถึงเรื่องแนวคิดทางการเมืองและสังคมวิทยา ผู้คนจำนวนหนึ่งถึงขั้นเชื่อมโยงกับหลักประชาธิปไตยยุคใหม่ที่ต่อต้านการอำนาจนิยม พวกเขามองว่าการสร้าง “Cancel Culture” และการประพฤติตนดั่งผู้มีอำนาจตัดสินชีวิตผู้อื่นให้กลิ่นอายแบบ “Authoritarianism” หรือ “ลัทธิอำนาจนิยม” ในแบบแอบแฝง เพราะผู้คนใช้อำนาจในมือตัดสินใจและสร้างฉากปิดกั้นลิซโซ่ไปเรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่มีการตัดสินคดีอย่างเป็นทางการ นี่เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นผ่านเรื่องราวการฟ้องร้องอันลือลั่น ประเด็นนี้จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกที่เชื่อมโยงโลกแห่งศิลปวัฒนธรรม การเมือง สังคมวิทยา จิตวิทยา และอีกหลากหลายศาสตร์วิชาเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์ สุดท้ายคงติดตามกันต่อไปว่าเหตุการณ์จะจบลงอย่างไร บทสรุปจะออกมาในรูปแบบใด และรูปแบบแนวคิดไหนจะถูกยกเป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงอย่างถูกต้องที่สุด