จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในเกมฟุตบอลของทีมชาติอาร์เจนติน่าต้องย้อนกลับไปสมัย Mario Kempes เบิกร่องนำทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1978 ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่ทีมฟ้า-ขาวเถลิงบัลลังก์แชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ต้องบอกว่าช่วงทศวรรษต่อมาจะเป็นยุคทองของชาติ และบุรุษนามว่า Diego Maradona ก็ก้าวเข้าสู่พจนานุกรมลูกหนัง ถึงขั้นถูกยกย่องว่าจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาล ความหวังของชาติทั้งหมดตกไปอยู่กับเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ฉายา “เสือเตี้ย” ที่สื่อมวลชนไทยตั้งให้กลายเป็นคำติดหูเมื่อพูดถึงโคตรตำนานคนนี้

Diego Maradona สมัยค้าแข้งอยู่กับทีม Boca Juniors รอบแรก / ภาพ: FourFourTwo

     ดิเอโก้คือขวัญใจชาวอาร์เจนติน่าอย่างแท้จริง เขาโดดเด่นอย่างมากกับการเล่นให้ทีมอย่าง Argentinos Juniors และ Boca Juniors ในลีกบ้านเกิด ความดุดันในเกมการเล่น ผสมผสานกับความพลิ้วไหวสวยงามสร้างภาพจำว่ามาราโดน่าคือสุดยอดนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นความหวังใหม่ที่จะสานต่อความสำเร็จการเป็นแชมป์โลก ซึ่งปี 1982 เด็กหนุ่มคนนี้ต้องแบกรับความกดดันมหาศาล หลังจากทีมมีโอกาสจะป้องกันแชมป์ ทว่าฤทธิ์ความเก่งฉกาจของเขาก็ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ ทีมฟ้า-ขาวตกรอบ 2 ไปแบบหมดลุ้น แพ้ทั้งอิตาลีและบราซิล

Diego Maradona กับการเถลิงบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก / ภาพ: These Football Times

     ฟุตบอลโลก 1986 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการฟุตบอลอาร์เจนติน่าเกิดขึ้น ครั้งนี้ฟุตบอลโลกกลับมาจัดที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นดินแดนไม่ไกลจากอาร์เจนติน่ามากนัก อีกทั้งยังมีสภาพอากาศคล้ายคลึงกันพอสมควร เหนือสิ่งอื่นใดนี่คือช่วงขวบปีที่มาราโดน่าท็อปฟอร์มที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง ด้วยวัย 26 ปี ทุกคนหวังว่าเขาจะพาอาร์เจนติน่าเถลิงความยิ่งใหญ่ในฐานะแชมป์อีกครั้ง ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุรุษจากสโมสรนาโปลี นักเตะร่างเล็กคนนี้ต้องพิสูจน์ตัวเองว่ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลด้วยตำแหน่งแชมป์เท่านั้น ความคาดหวังจากคนในประเทศว่าหนักแล้ว ทว่าความคาดหวังจากคนทั่วโลกที่ต้องการเห็นฟอร์มของว่าที่ตำนานนั้นหนักยิ่งกว่า

ช็อตสุดคลาสสิกของ Diego Maradona ในนัดชิงฟุตบอลโลกปี 1986 ระหว่าง อาร์เจนติน่าและฝรั่งเศส / ภาพ: The Times

     โคตรเทพ! ฟอร์มของมาราโดน่านำกลิ่นหอมแห่งชัยชนะมาให้ทัพฟ้า-ขาวอย่างต่อเนื่อง รอบแบ่งกลุ่มยิงไป 1 ประตู และซัด 2 ประตูทั้งในเกมพบอังกฤษและเบลเยี่ยมในรอบ 8 ทีม และรอบรองชนะเลิศตามลำดับ ก่อนรอบชิงเขาจะร่ายมนตร์จ่ายบอลให้  Jorge Burruchaga กดประตูตัดสินเกมเอาชนะเยอรมันตะวันตกไปได้ 3 ประตูต่อ 2 คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ของชาติได้สำเร็จ และมาราโดน่าก็พิสูจน์แล้วว่ามนตร์แห่งความเก่งกาจภายในตัวยอดเยี่ยมพอจะสัมผัสกับถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก พร้อมกับประกาศความยิ่งใหญ่ว่านี่คือยุคของเขาอย่างแท้จริง

Diego Maradona ในฟุตบอลโลก 1994 ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา / ภาพ: The Philadelphia Inquirer

     ปี 1990 และ 1994 ดูจะเป็นบทสรุปที่เจ็บปวด ปี 1990 มาราโดน่าพาทีมเข้าชิงอีกครั้งแต่พ่ายคู่ปรับเก่าอย่างเยอรมันไปอย่างเฉียดฉิว หลังคว่ำทีมชั้นนำในการดวลจุดโทษ และปี 1994 เขาเล่นเพียง 2 นัดและถูกส่งกลับเนื่องจากปัญหาการใช้สารต้องห้าม ปิดฉากตำนานทีมชาติอาร์เจนติน่าแบบไม่สวยหรู ทว่าด้วยความเก่งกาจของเขามันทำให้ผู้คนยังคงนึกถึงท่วงท่าลีลาและการใช้ประสิทธิภาพในเชิงลูกหนังของเขาอย่างเต็มเปี่ยม ตำนานบทนี้จบลงและอีกทศวรรษกว่าๆ เด็กหนุ่มความหวังใหม่ของชาติก็เฉิดฉายขึ้นมาจนสาวกฟ้า-ขาวยังพอใจชื้นได้บ้าง

Lionel Messi กับศึกฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขาในปี 2006 ณ ประเทศเยอรมัน / ภาพ: FIFA

     Lionel Messi ชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเขาได้ชื่อเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก เด็กหนุ่มดาวรุ่งจาก FC Barcelona เรียนรู้ในแคมป์ La Masia พร้อมทั้งขึ้นชุดใหญ่มาเล่นร่วมกับโคตรนักเตะอย่าง Ronaldinho เปิดตำนานนักเตะประวัติศาสตร์ที่ทำสถิติมากมายกับสโมสร แต่กับทีมชาติดูเหมือนว่าเขาต้องแบกรับความกดดันเกินประมาณ ผู้คนในชาติต่างคาดหวังให้เมสซี่พาทัพฟ้า-ขาวเถลิงบัลลังก์แชมป์อีกสักรอบ ด้วยศักยภาพที่ทุกคนพูดถึงเชื่อว่าเขาต้องทำได้สักครั้ง ซึ่งฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 2006

Lionel Messi วาดลวดลายในสนามเกมพบกับทีมชาติเยอรมันในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ทัพฟ้า-ขาวพ่ายไปอย่างหมดรูป 4 ประตูต่อ 0 / ภาพ: Zimbio

     ปีแรกเขาคือดาวรุ่งพุ่งแรงที่ทำให้โค้ชโดนตำหนิเมื่อไม่ส่งเขาลงสนามในเกมพบกับเยอรมันเจ้าภาพ ทำให้อาร์เจนติน่าพลาดท่าตกรอบไป นี่อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เมสซี่มุ่งมั่นที่จะพาทีมชาติรุ่งเรืองได้ดั่งยุคมาราโดน่าที่สามารถเข้าชิง 2 ครั้งติดต่อกัน ปี 2010 เขาก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญ พร้อมทั้งสวมปลอกแขนกัปตันทีมในบางนัดด้วย แต่แล้วก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันตกรอบแพ้เยอรมันเจ้าเก่าไปแบบขาดลอย 4 ประตูต่อ 0 ปิดฉากฟุตบอลโลก 2 ครั้งแรกได้อย่างน่าผิดหวัง ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าเมสซี่เก่งแต่ในสโมสรและไม่สามารสร้างความยิ่งใหญ่ได้เหมือนมาราโดน่า

Manuel Neuer (ซ้าย) นายด่านทีมชาติเยอรมันรับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม โดยที่ Lionel Messi (ขวา) รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแต่ทีมของเขาพลาดท่าพ่ายนัดชิงชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย / ภาพ: Bleacher Report

     เยอรมันอีกแล้ว! ต้องบอกว่าปี 2014 เมสซี่ในเวอร์ชั่นเทพจุตินำพาอาร์เจนติน่าตะลุยฝ่าด่านหินจนผู้คนคาดว่าเขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์กำหนดโชคชะตาแชมป์ให้กับทีมได้ ทว่าปาฏิหาริย์กลับเกิดกับฝั่งเยอรมัน Mario Götze ดาวรุ่งตัวสำรองซัดประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตาและความผิดหวังให้กับอาร์เจนติน่า รวมถึงเมสซี่ที่ร่ายมนตร์จนได้นักเตะยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่สามารถพาทีมขึ้นบัลลังก์อันดับ 1 ของโลก ถึงตอนนี้เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก ตำนานคนนี้ยังคงเฝ้ารอความสำเร็จในนามทีมชาติต่อไป ข้อครหาเกิดขึ้นมากมายและแชมป์โลกก็เป็นเครื่องการันตีชิ้นสุดท้ายว่าเขาคือนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาล

Lionel Messi กับความผิดหวังที่พ่ายต่อทีมชาติฝรั่งเศสในฟุตบอลโลก 2018 ณ ประเทศรัสเซีย / ภาพ: The Independent

     ปี 2018 ความผิดหวัง ณ รัสเซีย ต้องบอกว่าช่วงวัย 31 ปีกับอาชีพค้าแข้งนั้นดูจะกำลังเหมาะสมกับสไตล์การเล่นที่เน้นประสบการณ์ แต่จุดด้อยคือองค์ประกอบทีมและโค้ชที่สร้างความหงุดหงิดให้กับแฟนบอลอาร์เจนติน่า พวกเขาตกรอบด้วยน้ำมือทีมชาติฝรั่งเศสไปแบบลุ้นระทึก 4 ประตูต่อ 3 เท่ากับว่าเมสซี่เข้าร่วมฟุตบอลโลกมากถึง 4 ครั้งเฉียดสุดก็ได้เพียงเข้าชิง และยังคงโดนปรามาสว่าไม่สามารถเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ได้หากปราศจากถ้วยรางวัลใบนี้ แม้เขาจะวาดลวดลายอันน่ามหัศจรรย์บนผืนหญ้ามาร่วมทศวรรษ แต่ยังต้องยืนหยัดพิสูจน์ตัวเองต่อไปในนามทีมชาติ

Lionel Messi เข้าไปแสดงความยินดีร่วมกับ Emi Martinez ในเกมที่เอาชนะการดวลจุดโทษกับเนเธอร์แลนด์ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 / ภาพ: Euro Sport

     ปี 2022 โชคชะตาฟ้าลิขิตเหมือนจะเล่นตลกอีกครั้ง เปิดเกมแรกเขายิงประตูได้แต่ก็พ่ายซาอุดิอาระเบียแบบพลิกล็อก หลังจากนั้นเมสซี่เริ่มร่ายมนตร์วิเศษพาอาร์เจนติน่าเก็บชัยชนะต่อเนื่อง ด้วยวัย 35 ปี เขาไม่ได้หวือหวาเท่าเมื่อก่อน ทว่าในอีกมุมหนึ่งเราเห็นความเด็ดขาดและมุมมองที่กลั่นกรองจากประสบการณ์อัดแน่น ในรอบน็อกเอาต์เขายิงประตูทุกนัดและคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนัดชิงชนะเลิศที่ทุกคนรอคอย ศึกล้างตาทีมชาติฝรั่งเศสจากครั้งที่แล้วคือสมรภูมิลูกหนังครั้งใหญ่ที่เขาจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว

Lionel Messi และเพื่อนร่วมทีมชาติอาร์เจนติน่าเฉลิมฉลองหลังดวลจุดโทษเอาชนะทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ไปครองได้สำเร็จ / ภาพ: New York Post

     นัดชิงชนะเลิศเขาสังหารจุดโทษเปิดเกมให้ทัพฟ้า-ขาวขึ้นนำ ก่อนทีมจะมีแนวโน้มที่ดีจากได้ประตูที่ 2 แต่ปาฏิหาริย์ของ Kylian Mbappé ส่งให้เกมยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลา เมสซี่ยังคงเสกประตูให้อาร์เจนติน่าขึ้นนำและก้าวขาขึ้นสู่บัลลังก์ไปก้าวหนึ่ง ก่อนซูเปอร์สตาร์ของฝรั่งเศสคนเดิมก็มากดประตูตีเสมอจนต้องดวลจุดโทษ เมสซี่ไม่พลาด เอ็มบัปเป้ไม่พลาด แต่ฮีโร่ Emi Martinez โชว์ฟอร์มเซฟจนพาทีมคว้าแชมป์โลก ตลอดระยะเวลาทั้งทัวร์นาเมนตร์เมสซี่สร้างปรากฏการณ์ที่ทุกคนต้องจดจำ นี่อาจเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายในชีวิต เขาปิดฉากและลบข้อครหาทั้งหมดด้วยชัยชนะครั้งนี้ ตัวเขาเองคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนตร์ และคว้าถ้วยฟุตบอลโลกไปครองได้สำเร็จดั่งที่ตั้งใจ หลังลงเล่นมาทั้งหมด 5 ครั้ง รวมระยะเวลากว่า 16 ปีเต็ม!

Lionel Messi สัมผัสถ้วยฟุตบอลโลกไปพร้อมกับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม / ภาพ: The Independent

     นี่อาจเป็นการส่งต่อความยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้ราบรื่น กราฟชีวิตของตำนานคนก่อนอย่างมาราโดน่าเริ่มต้นด้วยความสำเร็จตั้งแต่ช่วงต้น เขาคว้าแชมป์ตั้งแต่การลงเล่นสมัยที่ 2 ก่อนจะค่อยๆ เจอกับความผิดหวัง ในขณะที่เมสซี่เริ่มต้นกับความผิดหวังมาตลอดถึง 4 ครั้งติด ก่อนจะมาคว้าความสำเร็จได้ในครั้งที่ 5 ในฟุตบอลโลก 2014 เหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันลบเลือน สำหรับมาราโดน่าตอนจบคงเป็น “Sad Ending” ที่เริ่มต้นอย่างสวยงามแต่ปิดฉากด้วยความอื้อฉาว ส่วนเมสซี่คือตอนจบแบบ “Happy Ending” ที่เผชิญความทุกข์ทรมานมาก่อนที่จะสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ นี่คือการส่งต่อตำนานแชมป์ฟุตบอลโลกของทัพฟ้า-ขาวที่ไม่มีใครเหมือน พวกเขามีเทพเจ้าฟุตบอลถึง 2 คนในช่วงเวลาไทม์ไลน์ไม่ทิ้งแถวกันมาก และทั้งคู่ก็พาถ้วยฟุตบอลโลกกลับบ้านได้อย่างยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าหนัง 2 เรื่องล้วนมีเริ่มต้น ดำเนินเรื่อง และจบคนละแบบ แต่เชื่อว่าชาวอาร์เจนติน่าและแฟนฟุตบอลทั่วโลกจะจดจำความยิ่งใหญ่ดั่งเทพนิยายที่พวกเขาสร้างไว้อย่างแน่นอน