Daily Dose of Sunshine ซีรี่ส์ที่ทำให้เข้าใจว่าเรื่องจิตเวชไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

     หากพูดเรื่องเกี่ยวกับจิตเวชอาจจะฟังดูซับซ้อนและน่าเบื่อ อีกทั้งระดับความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ของคนในสังคมยังแตกต่างกันอยู่ในหลายสังคม บางคนให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจและการแสดงออกอย่างเข้าอกเข้าใจ ในทางตรงกันข้ามคนบางกลุ่มอาจมองว่าสภาพจิตใจเป็นเรื่องไม่มีเหตุมีผล มองว่าเป็นสิ่งที่แก้ไม่หายรักษาไม่ได้ อาจร้ายแรงไปถึงการตีตราหรือป้ายมลทินความผิดปกติให้กับผู้อื่นเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้มีซีรี่ส์เรื่อง Daily Dose of Sunshine กำลังเข้าฉาย และกำลังนำเสนอเรื่องราวนี้อย่างเจาะลึกในขณะเดียวกันก็ปรับรูปแบบให้ทุกคนเข้าใจได้โดยไร้ซึ่งความซับซ้อน

     ซีรี่ส์เรื่องนี้จะเล่าเรื่องผ่านพยาบาลจองดาอึนที่ย้ายจากแผนกอายุรกรรมมาสู่แผนกจิตเวชเนื่องด้วยสาเหตุความใส่ใจในคนไข้ที่อาจเกินพอดี อันเป็นการตั้งคำถามถึงวิธีการปฏิบัติของพยาบาลที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างความเอาใจใส่เต็มร้อยกับการปฏิบัติงานให้ครบถ้วน เพียงแค่ประเด็น Dilemma ครั้งนี้ก็ตั้งแง่คิดถึงวิถีชีวิตของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์แล้วว่าเราต้องให้ความสำคัญอะไรหรือมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญกว่าการพาเข้าโลกแห่งจิตเวช โลกที่หลายคนละเลยและคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แท้จริงแล้วมันกลับใกล้ตัวและมีความสำคัญต่อชีวิตคนรุ่นใหม่อย่างเป็นประจักษ์

     ซีรี่ส์นี้คือซีรี่ส์น้ำดีที่เล่าเรื่องราวผ่านวิถีชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ เส้นเรื่องดำเนินไปเหมือนกับความสงสัยของพยาบาลทำหน้าที่แทนผู้ชม โรคจิตเวชด้านต่างๆ ถูกบอกเล่าผ่านพฤติกรรมและคำอธิบายอย่างสม่ำเสมอ มีการใช้คำศัพท์ทางการแพทย์ที่จริงจัง ในขณะเดียวกันก็มีคำอธิบายเกี่ยวกับคำศัพท์เหล่านั้นสอดแทรกอยู่เสมอ นับเป็นวิธีการทำให้ซีรี่ส์สมจริงและทำให้ผู้ชมทั่วไปเข้าใจได้อย่างดี อีกทั้งยังคงความลื่นไหลในการเล่าเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถือว่าการดำเนินเป็นไปอย่างธรรมชาติสามารถดึงความรู้สึกร่วมของผู้ชมโดยไม่ซับซ้อนเกินจนเกินไป

     วิธีการเล่าเรื่องต่อระหว่างตอนก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ ชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ดำเนินไปเป็นเส้นหลัก แต่ละตอนจะมีเหตุการณ์สำคัญสะท้อนภาพของอาการผิดปกติทางจิตใจออกมาอย่างแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นอาการไบโพลาร์ อาการหลงผิด อาการ PTSD เรื่อยไปจนถึงอาการซึมเศร้า ทั้งหมดถูกอธิบายด้วยหลักการและเหตุผลแต่ด้วยความที่ซีรี่ส์เหมือนพาเราเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์จริงทำให้การอธิบายผ่านภาพ การวิเคราะห์ และทุกองค์ประกอบรอบด้านนั้นไม่มีทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อกับเนื้อหาหรือสับสนกับความสลับซับซ้อนเชิงการแพทย์เลยแม้แต่น้อย

     ภาพสะท้อนของสิ่งที่ทุกคนอาจเผชิญเมื่อใดก็ได้ แน่นอนว่ามายาคติผิดๆ ว่าการเข้าหาจิตแพทย์ต้องผิดปกติและผิดเพี้ยนจากสังคม ทว่าซีรี่ส์เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าการยอมรับว่าการมีอาการป่วยเชิงจิตเวชเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนการป่วยทางร่างกายทั่วไป ดังนั้นการเข้ารับการรักษาจะช่วยเยียวยาและทำให้ชีวิตของคนยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยปัญหาด้านนี้กลับมาเป็นปกติหรือมีอาการดีขึ้น ทุกคนมีโอกาสประสบกับอาการทางจิตได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน แข็งแรงหรืออ่อนแอ (ด้านร่างกาย) ก็อาจเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือสภาพจิตใจอันอ่อนแอที่ตัวเองและคนรอบข้างละเลยได้เสมอ

     จุดเด่นของซีรี่ส์เรื่องนี้คือการใช้วิชวลเอฟเฟกต์ช่วยสร้างเสริมประสบการณ์การชมให้แฟนตาซีขึ้นอีกระดับ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นมังกรเพลิงของผู้ป่วยที่เผชิญความผิดหวังขั้นสุดจนมุ่งหาเกม การเห็นภาพหลอน เรื่อยไปจนถึงการเปรียบเทียบโรคตื่นตระหนกกับน้ำที่ไหลเอ่อท่วมจนไม่สามารถหายใจได้ ทั้งหมดถูกนำเสนอด้วยภาพเอฟเฟกต์ที่เหนือจริง แต่กลับสะท้อนภาพต่างๆ ออกมาได้อย่างมีมิติน่าสนใจ ใครจะคิดว่าการเปรียบเทียบโลกจิตเวชด้วยภาพเสมือนที่แทนอารมณ์ความรู้สึกจะทำให้ผู้ชมเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งเห็นภาพมากขึ้น

     นอกจากเรื่องจิตเวชแล้ว การนำเสนอวิถีชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ก็เป็นเรื่องที่สอดประสานกับเส้นเรื่องเกี่ยวกับจิตเวชหลักได้เป็นอย่างดี มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงาน หน้าที่ของแต่ละบุคคล ความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับพยาบาลที่มาพร้อมการตั้งแง่ระหว่างกัน และที่สำคัญที่สุดคือสภาพจิตใจของบุคลากรที่ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ ทั้งดีและร้าย บางครั้งมันทำให้จิตใจอิ่มฟู แต่ก็ไม่น้อยที่เหตุการณ์หนักหน่วงจะพาห้วงอารมณ์ของพวกเขาดิ่งตามไปเช่นกัน หลายครั้งที่คนที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องจิตเวชมากที่สุดจะยิ่งละเลยและทำให้อาการของตัวเองเกิดขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยิ่งคิดว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันเพราะเก่งกาจและคุ้นเคยมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้สร้างเกราะป้องกันด้วยการปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากเท่านั้น

     ความสมดุลของซีรี่ส์เรื่องนี้ทำให้ทุกรสชาติกลมกล่อมมากขึ้น หากจะพูดแต่เรื่องจิตเวชและการดำดิ่งอย่างเดียวอาจไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมทั่วไปได้มากพอ การเล่าถึงชีวิตบุคลากรทางการแพทย์ ความรัก เรื่อยไปจนถึงการสอดแทรกมุกตลกล้วนช่วยให้ซีรี่ส์เรื่องนี้มีความสมดุลจนกลายเป็นซีรี่ส์ที่บอกเล่าชีวิตได้อย่างน่าเชื่อถือยิ่งกว่าการมุ่งเน้นเล่าแต่เรื่องจิตเวชเสียอีก ซึ่งมุมหนึ่งก็เหมือนกับวิธีที่ทำให้เห็นว่าจิตเวชเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ มันอยู่ในทุกมิติของชีวิต คนในสังคมอาจเผชิญกับมันได้ตลอดเวลา และปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคล รวมถึงมุมมองของคนในสังคม ตั้งแต่บุคลากรภายใน ผู้ป่วย ญาติ และอื่นๆ อีกมากมายยังมีรูปแบบการมองภาพเหล่านี้ต่างออกไปด้วยเช่นกัน การอธิบายภายในเรื่องทำให้เห็นถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจริงและการทำให้ข้อมูลเหล่านั้นกลายเป็นคำแนะนำที่ควรจะเป็น แม้มันจะสนุกดูง่ายดูเพลินแต่ Daily Dose of Sunshine คือซีรี่ส์น้ำดีที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมอย่างล้นหลามจริงๆ