LIFESTYLE
ชีวิตที่ไม่ง่ายกว่าจะกลายเป็นจอมแปลงโฉมแห่งฮอลลีวู้ดของ Christian Baleในภาพยนตร์แต่ละเรื่องรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนของเขาเปลี่ยนไปจนแทบจะจำเค้าเดิมไม่ได้ กว่าที่นักแสดงหนุ่มใหญ่จะเดินทางมาถึงทุกวันนี้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง... |
จริงอยู่ที่การลดวัยให้ Robert De Niro กลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Irish Man หรือการที่ Jared Leto ฟรอนต์แมนแห่งวงร็อก Thirty Seconds to Mars แปลงโฉมตัวเองกลายเป็น Rayon ตัวละครทรานเจนส์เดอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Dallas Buyers Club จนสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมคือเรื่องที่น่าทึ่ง ทว่านอกจากฝีมือการแสดงแล้ว ก็ต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับทีมสเปเชียลเอฟเฟคและทีมแต่งหน้า
อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึง “จอมแปลงโฉมแห่งฮอลลีวู้ด” ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ตัวจริง เล่นจริง” ชื่อแรกที่ต้องหยิบยกมาคือ Christian Bale ที่ในภาพยนตร์แต่ละเรื่องรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนของเขาเปลี่ยนไปจนแทบจะจำเค้าเดิมไม่ได้ หลายคนชื่นชมในความทุ่มเทของ Bale แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่ากว่าที่นักแสดงหนุ่มใหญ่จะเดินทางมาถึงทุกวันนี้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย
คำอธิบายภาพ: Christian Bale ในบท Patrick Bateman จากภาพยนตร์เรื่อง American Psycho (2000)
Christian Bale เริ่มมีผลงานในฮอลลีวู้ดครั้งแรกในช่วงปลายทศวรรษ 80 แต่บทบาทที่แจ้งเกิดให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์จริงๆ คือ Patrick Bateman สิงห์แห่ง Wall Street ผู้ลุ่มหลงในโลกแห่งทุนนิยมจนยอมทำเรื่องอำมหิตเกินใครคาดคิด จากภาพยนตร์เรื่อง American Psycho (2000) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบทบาทนี้เข้ากับ Christian Bale ได้อย่างพอดิบพอดี เขาสวมวิญญาณ Patrick Bateman จนแสดงออกมาได้อย่างสมจริง สะกดผู้ชมให้รู้สึกหวาดกลัวตัวละครนี้ได้อย่างอยู่หมัด อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Bale ได้รับการชื่นชมอย่างมากจากบทบาทนี้คือการแปลงโฉม
ก่อนเริ่มถ่ายทำ Bale ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อต้นแขนและท้อง “การออกกำลังกายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม” Bale กล่าวกับ The Guardian ในปี 2000 อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุดสำหรับการแปลงโฉมให้กลายเป็น Patrick Bateman เพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Bale ลงทุนให้ทันตแพทย์จัดรูปทรงของฟันใหม่เพื่อปรับรอยยิ้มให้ตรงและขจัดช่องว่างระหว่างฟันหน้าของเขาใกล้ ให้ใกล้เคียงกับ Patrick Bateman ในอุดมคติมากที่สุด “ผมชอบฟันเก่าของผม แต่สำหรับตัวละครที่หลงตัวเองและชื่นชอบในความสมบูรณ์แบบอย่าง Patrick Bateman เขาคงไม่ยอมให้ฟันหน้าของเขามีตำหนิแน่” หากคิดว่าสิ่งที่ Bale ทำใน American Psycho นั้นดูทุ่มเทเพื่อการแสดงแล้ว ทว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับการแปลงโฉมครั้งต่อมาของเขาในภาพยนตร์เรื่อง The Machinist (2004)
คำอธิบายภาพ: Christian Bale ในบท Trevor Reznik จากภาพยนตร์เรื่อง The Machinist (2004)
The Machinist ว่าด้วยเรื่องราวของ Trevor Reznik ชายผู้มีอาการนอนไม่หลับต่อเนื่องมานับปี และเมื่อมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น เขาก็เริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับสติสัมปชัญญะตัวเองกันแน่ แน่นอนว่าสำหรับคนที่นอนไม่หลับมาเป็นปี ร่างกายย่อมต้องทรุดโทรม ดังนั้นเพื่อรับบทนี้ Bale ต้องลดน้ำหนักกว่า 60 ปอนด์ หรือเกือบ 30 กิโลกรัม ในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่โหดหิน ทรมาน และฝืนธรรมชาติร่างกายอย่างถึงที่สุด มีรายงานว่าแต่ละวันสิ่งที่ Bale รับประทานมีเพียงแค่ ทูน่า 1 กระป๋อง, แอปเปิล, กาแฟ 1 แก้ว, และน้ำเปล่าเท่านั้น “เมื่อคุณผอมจนแทบจะเดินขึ้นบันไดไม่ได้ คุณจะรู้สึกว่าเหมือนได้ปล่อยวางจากร่างกายตัวเอง” Bale กล่าว และมีรายงานว่าจริงๆ แล้วตัวเขาเองยังไม่พอใจกับรูปร่างที่ได้เท่าไรนัก เขาอยากลดลงอีก 20 ปอนด์ด้วยซ้ำ แต่ไม่มีใครยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมันเสี่ยงมากๆ ต่อปัญหาสุขภาพที่จะตามมา
หลังจากปิดกล้อง The Machinist นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษมีเวลาเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้นในการเตรียมตัวเพื่อรับบทสำคัญที่สุดในชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นบทไหนไปไม่ได้นอกจาก Bruce Wayne / Batman จาก Batman Trilogy ของสุดยอดผู้กำกับ Christopher Nolan จากชายร่างกายทรุดโทรมใน The Machinist ต้องพลิกฝ่ามือให้กลายเป็นหนุ่มนักธุรกิจผู้ร่ำรวยที่เบื้องหลังคือซูปเปอร์ฮีโร่ยามรัตติกาล สิ่งที่ Bale ต้องทำคือการเพิ่มน้ำหนัก 100 ปอนด์ หรือเกือบ 50 กิโลกรัม การลดว่ายากแล้ว แต่ Bale บอกว่าสำหรับเขาการเพิ่มน้ำหนักนั้นทรมานกว่ามาก
WATCH
คำอธิบายภาพ: Christian Bale ในบท Bruce Wayne จากภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins (2005)
“ผมต้องกินอย่างบ้าคลั่ง ทำทุกอย่างเพื่อให้น้ำหนักขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อสุขภาพเลย แค่วิ่งอยู่ในบ้านก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ตอนที่ Nolan เจอผมครั้งแรก เขาบอกว่าผมเหมือนหมีกริซลี่ย์เลย” นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้น Christian Bale ยังต้องแปลงโฉมอีกหลายต่อหลายครั้ง เพื่อรับบทในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก 30 ปอนด์ เพื่อกลายเป็นอดีตนักมวยขี้ยาใน The Fighter (2010) ที่ถือว่าคุ้มค่า เพราะบทนี้ส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิต จากนั้นเขาก็ต้องเพิ่มน้ำหนัก 43 ปอนด์ เพื่อรับบทใน American Hustle (2013) ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาคือกระดูกของ Bale เริ่มรับน้ำหนักตัวที่เปลี่ยนอย่างฉับพลันของเขาไม่ไหว
“ถึงจุดหนึ่งผมบอกให้เขาพอแล้ว เขาสูญเสียความสูงไปสามนิ้ว และยังมีหมอนรองกระดูกเคลื่อนด้วย" David O. Russell ผู้กำกับ American Hustle กล่าวถึงความทรมานของนักแสดงคู่บุญ ส่วน Bale กล่าวถึงชีวิตในตอนนั้นว่า “ผมคิดว่าผมแก่แล้ว ผมนึกว่าการลดน้ำหนักเพื่อรับบทใน American Hustle ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเป็นผมตอนอายุ 20 กว่าๆ ใช้เวลา 2 เดือนก็น่าจะทำได้สบายๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย ผมต้องทุ่มเทอย่างหนัก” หรือแม้กระทั่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Christian Bale ก็ยังคงเล่นรถไฟเหาะกับน้ำหนักตัวเองเหมือนเช่นในอดีต เขาเพิ่มน้ำหนักตัวเอง 40 ปอนด์ รวมถึงการใช้เวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อแต่งหน้าแปลงโฉมเขาให้เหมือน Dick Cheney อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในภาพยนตร์เรื่อง Vice (2018) มากที่สุด
คำอธิบายภาพ: Christian Bale ในบท Irving Rosenfeld จากภาพยนตร์เรื่อง American Hustle (2013)
“มันคือความหมกมุ่น ผมทั้งอ่านบทสัมภาษณ์และดูวิีดีโอของ Cheney วันละหลายชั่วโมง พยายามเลียนแบบการเคลื่อนไหวของร่างกายให้เหมือนที่สุด” Bale เล่าถึงความทุ่มเทที่ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้อีกครั้ง จากนั้นเพียงไม่กี่เดือน Bale ก็ต้องลดน้ำหนักอีกครั้ง และคราวนี้ก็มากถึง 70 ปอนด์ จากนักการเมืองมาดคุณลุงลงพุงพลิกเป็น Ken Miles นักแข่งรถมาดเท่ในภาพยนตร์เรื่อง Ford v Ferrari (2019) ซึ่งนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาแปลงโฉมด้วยน้ำหนักตัว…
คำอธิบายภาพ: Christian Bale ในบท Dick Cheney จากภาพยนตร์เรื่อง Vice (2018)
ปัจฉิมจอมแปลงโฉม
“ผมเอาแต่พูดว่าผมพอแล้ว ใช่ ผมคิดว่าผมพอแล้วจริงๆ” Bale กล่าวกับ CBS Sunday Morning อย่างโล่งใจหลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำ Ford v Ferrari คำว่าพอแล้วของ Bale หมายถึงเรื่องการแปลงโฉมด้วยการลดน้ำหนัก ที่เขายอมรับว่าเขาไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นอีกแล้ว
คำอธิบายภาพ: Christian Bale ในบท Ken Miles จากภาพยนตร์เรื่อง Ford v Ferrari (2019)
“ผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับมันแล้ว เพราะผมแก่แล้ว และผมคิดว่าถ้าผมยังทำเหมือนในอดีตผมจะต้องตายแน่ๆ ดังนั้นแน่นอนว่าผมยังไม่อยากตาย” นักแสดงหนุ่มยืนยันอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะเสริมต่อว่าเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ในอดีต แต่ยิ่งอายุเยอะทุกอย่างก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ และการที่ต้องลดน้ำหนักเพื่อรับบทใน Ford v Ferrari ทำให้เขารู้ว่าร่างกายเขาถึงขีดจำกัดแล้ว ด้วยเหตุนื้ฮอลลีวู้ดอาจจะต้องโบกมือลากับหนึ่งในจอมแปลงโฉมที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งตอบแทนที่ได้รับคือการที่จะมียอดนักแสดงฝีมือดีอยู่คู่กับวงการอย่างสุขภาพดีไปอีกนาน
WATCH