LIFESTYLE

เรื่องเล่าหลังแผ่นเสียง เมื่อเพลง What a Wonderful World ไม่ได้พรรณนาถึงแค่โลกสวยเท่านั้น

รู้หรือไม่ เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นในช่วงของสงครามเวียดนาม

ในวันที่ท้องฟ้ามืดมัว เสียงรบราฆ่าฟันเกิดขึ้น ความขมุกขมัวกัดกินไปทั่วสหรัฐฯ และประเทศร่วมพันธมิตร ช่วงปี 1967 สงครามเวียดนามก่อตัวขึ้นถึงขีดสุดความรุนแรง น้ำตาแห่งความสูญเสียและความโศกเศร้าร่วงหล่นบนผืนแผ่นดิน ในวันที่ชนชาติหมดกำลังใจ Bob Thiele และ George David Weiss ร่วมกันแต่งเพลงเพื่อหวังจะบรรเทาความขัดแย้งและความเศร้าผ่านบทเพลง What a Wonderful World ความต้องการที่จะเห็นโลกกลับมาสดใส ท้องฟ้าสีคราม ดอกไม้สวย และผู้คนที่ยิ้มแย้มให้กันอีกครั้ง โดยถ่ายทอดเนื้อร้องด้วยน้ำเสียงจริงใจของนักทรัมเปตมือหนึ่งและนักร้องเพลงแจ๊สของยุคอย่าง Louis Armstrong

ภาพ:The story behind 

แรกเริ่มเดิมทีเพลงนี้ถูกมอบให้ Tony Bennett ได้เป็นผู้ร้อง หากเขาได้ปฏิเสธโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย บทเพลงนี้จึงเวียนมาตกที่หลุยส์แทน หลุยส์ผู้ที่จอร์จนักแต่งเพลงนี้บรรยายไว้ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเขาโดยเฉพาะ เพราะโลกสวยของเขาคือไม่เพียงแค่ความสุขที่อยากได้คืนมาจากการสูญเสีย การอพยพ ครอบครัวกระจัดกระจายเพราะสงคราม และปัญหาทางการเมืองในตอนนั้นเท่านั้น หากเขายังเห็นพลังของนักทรัมเปตผิวสีที่รวบรวมผู้คนทุกชาติพันธุ์ สีผิว ชนชั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกันผ่านบทเพลงของเขาเองด้วยต่างหาก เพลงนี้จึงเป็นการเทียบเคียงตัวอย่างของคำว่า “โลกสวย” ได้อย่างไร้ที่ติ โลกที่เล่าความสวยงามของสิ่งรอบตัว ความมหัศจรรย์ของผู้คนและธรรมชาติ มันคือเพลงเรียบง่ายที่ไม่ต้องการการตีความเชิงซ้อนอะไรให้มากมาย เพราะความหมายที่แท้จริงของความสุขมันสวยงามและเรียบง่ายแบบนี้นี่แหละ คุณมองเห็นดอกไม้เบ่งบานสู้แสง คุณเห็นรอยยิ้มของคนที่เดินผ่านไปมา ท้องฟ้าสีครามที่มอบความสดใสให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลก

ภาพ: Smooth Radio

แม้ผลงานเพลงนี้จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกของหลุยส์ หากรู้หรือไม่ว่า What a Wonderful World ที่ได้รากฐานแรงบันดาลใจจากประเทศสหรัฐฯ กลับไม่ได้โด่งดังอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยค่ายเพลงของเขาเองไม่ชื่นชอบเพลงนี้จึงไม่ได้ใส่ใจที่จะลงทุนเพื่อการโปรโมตเท่าที่ควร กลับกันเพลงนี้ได้รับความนิยมที่แผ่นดินอังกฤษเป็นอย่างมาก คนที่นี่มอบความยุติธรรมให้กับเพลงอย่างสมน้ำสมเนื้อด้วยการส่งขึ้นชาร์ตเพลงในลำดับที่ 1 ในปี 1968 และสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้หลุยส์ได้กลายเป็นศิลปินที่อายุมากที่สุดที่สร้างสถิตินี้ได้ด้วยอายุตัวเลข 66 ปี และในปีเดียวกันนั้นเพลงนี้ยังกลายเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศอังกฤษอีกด้วย สำหรับในประเทศสหรัฐฯ เองเพลงนี้กลับมาโด่งดังหลังถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Good Morning, Vietnam ในปี 1987 ที่นำแสดงโดย Robin Williams กระนั้นเป็นต้นมาเพลงนี้ยังก็เป็นหนึ่งในตำนานเพลงแจ๊สที่ดีที่สุดที่คนทุกรุ่นให้การยอมรับ



WATCH




ภาพ: Encore Spotlight

สำหรับคลังเพลงของหลุยส์เองไม่ได้มีแค่ผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง What a Wonderful World เท่านั้น แต่ยังมี Stardust, Dream a Little Dream of Me, We Have All the Time in the World และอีกมากมาย ซึ่งสาสน์ในเพลงนี้ไม่ใช่แค่เล่าถึงการต่อสู้กับความสูญเสียเพียงเท่านั้น หากช่วงเวลานั้นชาวอเมริกันผิวสีเองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าไหร่นัก จะมีก็เพียงแต่เหล่าศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียงเท่านั้นที่ได้อภิสิทธิ์ในแบบที่คนขาวได้ นี่จึงเปรียบเหมือนสงครามที่น่ากลัวที่สุด สงครามที่ต้องต่อสู้กับสิ่งที่อันตรายและโหดร้ายอย่างจิตใจและความคิดของมนุษย์ การแบ่งแยกชนชั้นและสีผิวไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติหากเกิดจากสันดานดิบของมนุษย์ที่รีดดวามคิดเหล่านี้ใส่คนอื่น ตัวตนของหลุยส์เองก็ต้องต่อสู้กับสงครามนี้ผ่านคำพูดติฉินนินทาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นว่าเขาได้กลายเป็นคนผิวสีที่ลืมรากของตัวเอง แม้ในความเป็นจริงแล้วความแตกต่างต่างหากที่จะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น เหมือนดั่งท่อนหนึ่งของเพลงที่ร้องว่า

ภาพ: The story behind 

The colors of the rainbow so pretty in the sky

Are also on the faces of people going by

I see friends shaking hands, saying how do you do

They’re really saying, I love you

รุ้งกินน้ำปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าสวยงามไปด้วยสีสันสดใสที่แตกต่างกัน หากจะตีความให้ลึกลงไปก็คงเปรียบรุ้งได้กับความหลากหลายของมนุษย์ เราแตกต่างกันด้วยชาติพันธุ์ สีผิว และวัฒนธรรม หากเมื่อเรารวมอยู่ด้วยกันก็สามารถสร้างสิ่งสวยงามให้เกิดขึ้นได้ เพลงนี้จึงเปรียบเหมือนเครื่องเตือนใจที่บอกว่าเพราะความแตกต่างนี่แหละที่ทำให้โลกสวยงามที่สุด และในตอนนี้ที่เราต่างต้องต่อสู้กับวิกฤติที่เกิดขึ้น ทั้งโรคระบาดรวมไปถึงการเหยียดชาติพันธุ์ที่ยังคงร้อนระอุไปทั่วโลก โว้กก็ได้แต่หวังว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เพลงนี้เปิดขึ้นมันจะช่วยบอกเราเป็นนัยๆ ให้เราหวนนึกถึงความสวยงามบนโลกว่าทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากการที่เราร่วมมือกัน และเราจะผ่านมันไปด้วยกันเพื่อให้โลกกลับมาสดใสอีกครั้ง และเมื่อวันนั้นมาถึงเราจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า What a Wonderful World จริงๆ

ข้อมูล : Words and music and stories, Smooth Radio, The story behind

WATCH