Vogue Scoop Blackpink
LIFESTYLE

'BLACKPINK' เกิร์ลกรุ๊ปจากเกาหลีใต้ ที่เกิดมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ระดับโลก

#VogueScoop จากไวรัลบนโลกออนไลน์ กับการปรากฏตัวของ 4 สาววง BLACKPINK ณ พระราชวังบักกิ้งแฮม สู่การตามรอยความสำเร็จของเกิร์ลกรุ๊ปวงนี้ ที่ได้สมญานามว่า 'เกิดมาเพื่อสร้างปรากฏการณ์และประวัติศาสตร์หน้าใหม่' ทั้งในอุตสาหกรรมเพลงระดับโลก เรื่อยไปจนถึงการพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมแฟชั่นไปตลอดกาล สร้างอำนาจ Soft Power แทรกแซงโลกตะวันตก พร้อมดึงให้โลกใบนี้กลับมาหมุนรอบเอเชียอีกครั้งอย่างภาคภูมิ! #BLACKPINK

     ไม่ผิดหากจะพูดว่า “BLACKPINK เกิดมาเพื่อสร้างตำนาน และประวัติศาสตร์หน้าใหม่” ให้กับอุตสาหกรรมเพลงเกาหลีใต้ (K-Pop) เพราะนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ทั้ง 4 สาวแห่งวง BLACKPINK ซึ่งประกอบไปด้วย ลิซ่า, โรเซ่, จีซู และเจนนี่ ได้ปล่อยผลงานเดบิวต์ออกสู่สายตาของสธารณชนเมื่อปี 2016 นับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมบันเทิงและอุตสาหกรรมเพลงของเกาหลีใต้ก็ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นและเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลอดกาล ดั่งคำกล่าวติดปากที่กลายเป็นไวรัลจนทุกวันนี้ที่ว่า “BLACKPINK in Your Area” จริงๆ เพราะในเวลานี้พวกเธอได้เข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่การรับรู้ของพวกเราแล้วเรียบร้อย

     4 สาววง BLACKPINK สร้างปรากฏการณ์และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่มากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในมิติของอุตสาหกรรมเพลงและอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก ซึ่งวง BLACKPINK เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปจากประเทศเกาหลีใต้วงแรกในหน้าประวัติศาสตร์ที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีเทศกาลดนตรี Coachella ในปี 2019 และต่อมาพวกเธอยังสามารถขึ้นแสดงสดบนเวทีเทศกาลดนตรี Coachella ประจำปี 2023 ในฐานะวงแสดงหลักได้อีกด้วย ซึ่งนับเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญของโลกดนตรีที่สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาแทรกแซงของอำนาจเอเชียในโลกตะวันตกอย่างชัดเจน เพราะการที่ผู้หญิง 4 คนที่เป็นผลผลิตมาจากอุตสาหกรรมเพลงฝั่งเอเชียได้ขึ้นไปเรียกเสียงกรี๊ดบนเวที ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีที่ถูกครอบงำโดยชาติตะวันตกมาเนิ่นนานนั้น ก็ไม่ต่างจากการประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชาติเอเชีย จนอาจกล่าวได้ว่าพวกเธอคือหนึ่งในเครื่องมือล่าอาณานิคมยุคใหม่ก็ไม่ปาน

     ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ความสำเร็จบนเวทีโลกของ BLACKPINK ยังแผ่ขยายไปสู่บนเวทีงานประกาศรางวัล MTV Video Music Awards ประจำปี 2022 ที่เกินความคาดหมายของใครหลายคน เพราะนอกจากที่ทั้ง 4 สาวจะได้สร้างแฟชั่นโมเมนต์บนพรมแดงจนกลายเป็นไวรัลตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้างานแล้วนั้น  BLACKPINK ยังหอบเอาผลงานเพลงอย่าง Pink Venom ไปเดบิวต์สเตจที่นั่นเป็นที่แรกในโลก หรือแม้แต่เพลง LALISA ของลิซ่า ที่สามารถคว้ารางวัลในสาขา Best K-Pop ไปครองได้สำเร็จ และกลายเป็นที่จับตามองของเหล่าเซเลบริตี้ฮอลลีวู้ดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

     ไม่ใช่แค่ยกระดับวงการเพลงเอเชีย ด้วยการลงมือทำในสิ่งที่คนทั่วไปคิดไม่ถึงว่าชาติเอเชียจะสามารถเดินทางไปถึงได้ในจุดนั้นเท่านั้น ทว่าทั้ง 4 สาววง BLACKPINK ยังพลิกหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลกครั้งใหญ่ ด้วยการขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของแบรนด์แฟชั่นลักชัวรีชื่อดังครบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น CHANEL, Dior, Saint Laurent, Celine, Bulgari, Cartier, Tiffany & Co. และอีกมากมาย ก่อนที่เกิร์ลกรุ๊ปและบอยแบนด์วงอื่นๆ ของเกาหลีใต้จะเดินตามสายทางนี้ในช่วง 2-3 ปีให้หลัง จนสามารถกล่าวได้เต็มปากว่ากลยุทธ์การขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ BLACKPINK นี้คือผู้กรุยทางให้ตลาดเอเชียอย่างแท้จริง

     กระทั่งล่าสุดกับการเดินทางไปปรากฏตัวของ 4 สาววง BLACKPINK ณ พระราชวังบักกิ้งแฮม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อร่วมงานเลี้ยงรับรองประธานาธิบดีของประเทศเกาหลีใต้ Yoon Suk Yeol และสตรีหมายเลขหนึ่งอย่าง Kim Keon Hee ที่เดินทางมาเข้าร่วมงาน The Korean State Banquet ในโอกาสครบรอบ 140 ปีของการสถาปนาความสำคัญทางการทูตระหว่างประเทศเกาหลีใต้ และประเทศอังกฤษ ซึ่งนับเป็นเกิร์ลกรุ๊ปวงที่ 2 ของโลกที่ได้รับการต้อนรับจากสมาชิกราชวงศ์อังกฤษต่อจาก Spice Girls ในปี 1997 ตอกย้ำกระแสความโด่งดังของ BLACKPINK อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะแม้แต่ราชวงศ์อังกฤษยังต้องเปิดพระราชวังต้อนรับพวกเธอ

     อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของ 4 สาว BLACKPINK จากความสามารถส่วนบุคคลเท่านั้น ทว่ายังสะท้อนให้เห็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การวางกลยุทธ์สร้าง Soft Power ผ่านวัฒนธรรมป็อป (Pop Culture) ของประเทศเกาหลีใต้ที่มาถูกทาง และเล็งเห็นความสำคัญของการแผ่ขยายอำนาจซอฟต์พาวเวอร์ดังกล่าวผ่านการทูตสู่ประเทศอื่นๆ จนกระทั่งประเทศอื่นๆ ต้องโอนอ่อนตาม และรับเอาเคป็อปเข้ามาเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตของพวกเรา ซึ่งนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการแทรกแซงอำนาจจากเอเชียสู่พื้นที่ตะวันตกและดึงให้โลกใบนี้กลับมาหมุนรอบเอเชียอีกครั้ง หรือที่นักวิชาการหลายคนลงความเห็นตรงกันว่าเป็นกลยุทธ์การล่าอาณานิคมในยุค 2020s 

 



WATCH




ภาพ : จินาภา ฟองกษีร

WATCH