LIFESTYLE
เปิดเบื้องหลังภาพวาด Starry Night เพื่อตอบคำถาม "ทำไมถึงโด่งดังที่สุดของ Van Gogh"ภาพที่โด่งดังที่สุดของเขา จริงๆ แล้วมีภาพในชุดเดียวกันอีกหลายชิ้น |
Vincent van Gogh (ฟินเซนต์ ฟัน โคค) หรือที่ชาวไทยนิยมออกเสียงว่า 'แวนโก๊ะ' นั้นเป็นศิลปินชาวดัตช์ที่มีชีวิตค่อนข้างอาภัพตั้งแต่เด็กจนโต ผลงานหลายพันภาพของเขาสามารถขายไปได้เพียงแค่ไม่กี่ภาพเท่านั้น และชื่อเสียงของเขาก็เพิ่งมาโด่งดังเอาตอนที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
ภาพ: Van Gogh Studio
ผลงานหลังการเสียชีวิตของแวนโก๊ะตกไปอยู่ในมือของน้องชาย Theo ที่ช่วยเหลือเรื่องการเงิน และสนับสนุนพี่ชายในไส้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลังธีโอตายด้วยอาการตรอมใจจากผู้เป็นพี่แล้ว ลิขสิทธิ์ภาพจึงไปตกที่ภรรยาของแวนโก๊ะ Jo Bonger หม้ายหญิงคนนี้ล่ะที่ทำให้ภาพของแวนโก๊ะโด่งดัง จากการเอาภาพไปเร่ขายตามที่ต่างๆ อย่างชาญฉลาด โดยภาพโด่งดังที่สุดของเขาคือ The Starry Night ที่เจ้าของมือคนสุดท้ายคือ The Museum of Modern Art ได้รับซื้อไปในปี 1941 และนับเป็นผลงานชิ้นแรกของแวนโก๊ะที่ได้ไปจัดโชว์ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ
ภาพ: Van Gogh Studio
The Starry Night คือภาพที่ถูกวาดขึ้นในปี 1889 ขณะที่ตัวศิลปินพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช Sain Paul Asylum ประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่เฉือนหูของตัวเองทิ้งไปหนึ่งข้างด้วยอาการไม่ปกติทางจิต ว่ากันว่าเป็นภาพวาดที่เขามองออกมาจากหน้าต่างของห้องพักฟื้นที่เข้าอาศัยอยู่ โดยภาพนี้เป็นภาพสีน้ำมันที่เกิดขึ้นจากเทคนิคการป้ายสีลงจากหลอดโดยไม่ผ่านพู่กัน ตัวภาพจึงมีความเข้มข้นชัดเจนสะท้อนความช็อกที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ผ่านสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงของตัวเขา ความฉวัดเฉวียน ทำให้ภาพที่ออกมามีความขมุกขมัว ไม่นิ่ง และเข้มข้นมากกว่าปกติ อย่างน้อยก็มากกว่าภาพวาดในจำนวนหลายร้อยชิ้นของเขาตอนที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
WATCH
ภาพ: Van Gogh Studio
ภาพนี้นับเป็นภาพ The Starry Night ชิ้นที่สอง เพราะเขาเคยวาดภาพทำนองนี้มาก่อนชื่อว่า Starry Night Over the Rhone ในขณะที่เขาอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช เขาได้วาดภาพจำนวนกว่า 20 ภาพที่สะท้อนทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างห้องของเขา ทั้งช่วงเวลาที่ต่างกัน หรือแม้แต่ฤดูที่ต่างกัน ภาพ The Starry Night อันโด่งดังนี้ถูกตีความหลากหลายรูปแบบต่างกันออกไป บ้างว่าเขาสื่อสะท้อนบางอย่างในจิตใจ ด้วยความที่ตอนเด็กเขาเป็นคนเก็บตัว นิ่งขรึม พูดน้อย และมีโรควิตกกังวลร่วมด้วย งานวาดช่วงแรกของเขาจึงค่อนข้างนิ่งและใช้สีค่อนข้างน้อยดูเรียบๆ เรื่อยๆ แต่หลังจากย้ายมาอยู่ปารีสแล้วการวาดภาพของเขาก็พัฒนาขึ้น เริ่มมีสีสันบนผ้าใบ และมักวาดภาพแนวทิวทัศน์ สภาพภูมิประเทศ และภาพเหมือนคนจริงบ้างประปราย โดยเราจะเห็นจากภาพหลายชิ้นที่พาดพิงถึงทุ่งข้าวสาลี ต้นมะกอก ดอกทานตะวัน ด้วยความที่เขาพักอยู่ ณ เมืองอาร์ล ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส
ภาพ: Van Gogh Studio
การมีโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลเป็นทุน ทำให้ตัวเขาใช้ชีวิตค่อนข้างยากลำบากในสังคม คนจำนวนมากมองเขาเป็นตัวประหลาดและล้มเหลวในชีวิต เมื่อเขายึดอาชีพการเป็นมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ไม่สำเร็จและหันมาพึ่งพิงทางด้านศิลปะ ที่เขาบอกกับน้องชายผ่านจดหมายว่า เขาค้นพบแล้วว่าศิลปะคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับตัวเขา เขาถึงได้ลงมือวาดภาพอย่างจริงจัง และอารมณ์ของภาพในแต่ละช่วงก็รุนแรงขึ้นตามลำดับด้วยเช่นกัน อย่าง The Starry Night เองจะเห็นได้ชัดถึงความบิดเบี้ยวของท้องฟ้า ที่บ้างว่าเขาวาดจากความทรงจำของตัวเอง หรือบ้างก็ว่าเขาวาดจากสิ่งที่เห็นของจริง “ความตายน่าจะพาเราไปถึงดวงดาวได้” เป็นคำพูดจากคนสติไม่สมประกอบด้วยพบกับปัญหาทางจิต และความไม่มั่นคงทางอารมณ์ เขาร่ำสุราอย่างหนัก ไม่กินและไม่นอน ไม่สนใจเรื่องสุขภาพ เคยถึงขั้นไล่ฟันเพื่อนของตัวเองก่อนจะเฉือนหูซ้ายตัวเองทิ้ง เป็นเหตุให้เขาต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช
ภาพ: Van Gogh Studio
ภาพสุดท้ายที่เขาวาดคือ Wheat Field with Crows ที่เป็นทางสามแพร่ง หลายคนลงความเห็นว่าชิ้นงานนี้เป็นเหมือนเครื่องบอกสภาพจิตใจที่กำลังมองหาทางออกของเขาอยู่ในเวลาที่สับสน และเขาก็เสีียชีวิตไม่นานจากการยิงปืนลูกโม่ใส่ที่หน้าอกของตนเอง เป็นการจบชีวิตลงในที่สุดด้วยอายุเพียง 37 ปี แวนโก๊ะไม่มีโอกาสได้รับรู้ความสำเร็จของตัวเองเลย เพราะชื่อเสียงของเขาก่อตัวขึ้นหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว แน่นอนว่าเคยมีภาพยนตร์สั้นเรื่องหนึ่ง เป็นการย้อนไทม์แมชชีนแล้วสามารถพาคนในอดีตมาสู่ยุคปัจจุบันได้ ในเรื่องนั้นตัวละครพาแวนโก๊ะมาดูผลงานของตัวเองในโลกอนาคต มาดูความสำเร็จของตัวเอง ว่าคนจำนวนมากเรียนรู้ผลงานของเขาดั่งครูศิลปะ เป็นดั่งที่พักใจยามเดินเล่นชมในพิพิธภัณฑ์ และกลายมาเป็นทรัพย์สินสาธารณะที่ใครๆ ก็หยิบเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแพร่หลาย แวนโก๊ะในภาพยนตร์นั้นถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อรู้ว่าผลงานที่เขาสู้ฝ่าฟันทำมันออกมานั้น มีคุณค่าและราคามากขนาดไหน เราได้แต่หวังว่าถ้ามันเป็นจริงได้ เขาจะได้รับรู้เสียทีว่าผลงานที่เขาเคยก่นด่าว่ามันคือความล้มเหลวในชีวิต กลับกลายเป็นชิ้นงานที่มีมูลค่ามากที่สุด และทรงคุณค่าต่อวงการศิลปะมากที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน
ข้อมูล : Van Gogh Studio, Point of view
WATCH