LIFESTYLE
จาก 'The Glory' ถึง 'โอม-ภวัต' เมื่อนักบูลลี่โดนนักขุดประจาน และบาดแผลเหยื่อที่ไม่เคยลืมเลือนราคาที่ 'บุคคลสาธารณะ' ต้องจ่ายให้กับการกระทำของตัวเองทั้งในตอนนี้และในอดีตมันช่างสูงลิบลิ่ว และทุกเรื่องราวก็จะตามหลอกหลอนไม่จบสิ้น |
กลายเป็นประเด็นร้อนท่ามกลางโลกทวิตเตอร์ในช่วงที่ผ่านมา สำหรับแฮชแท็ก #โอมภวัตออกมาพูดเถอะ ที่มีบัญชีทวิตเตอร์ออกมาแฉถึงเรื่องราวการกลั่นแกล้งและบูลลี่เพื่อนในสมัยมัธยมของนักแสดงหนุ่มสังกัด GMM Grammy อย่าง ‘โอม-ภวัต จิตต์สว่างดี’ ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นจากกระแสความนิยมของซีรี่ส์ The Glory บนแพลตฟอร์ม Netflix ที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตจริงของคนบนโลกโซเชียลมีเดีย และกลายเป็นชนวนให้เหล่านักขุดขุดวีรกรรมของคนดังในอดีตขึ้นมาประจานอีกครั้ง
แม้ว่าโอมจะออกมาขอโทษทันทีภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีกระแสของแฮชแท็กแล้วก็ตาม ทว่ากระแสวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าแฟนคลับและโลกทวิตเตอร์กลับยิ่งโหมกระพือขึ้นเท่าตัว พร้อมคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งเด็กออทิสติก ไปจนถึงการบูลลี่เพื่อนในอดีตของโอม และหลายๆ คน ที่อาจกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ...
การถกเถียงของเหล่าแฟนคลับในโลกทวิตเตอร์ขยายเป็นวงกว้าง เริ่มต้นจากแถลงการณ์ขอโทษฉบับนั้นของโอม ที่ชาวทวิตเตอร์ส่วนใหญ่มองว่าใช้คำไม่เหมาะสม เพียงแต่ยกเอาวลี “ความแสบซน” ในวัยเยาว์ มาใช้เป็นปราการรับความผิดในอดีตแทน หรือกระทั่งคำถามที่ว่า “ทำไมต้องขุดเรื่องในอดีตเป็น 10 ปีขึ้นมาพูดในวันที่ใครคนนั้นโด่งดัง นี่ถือเป็นการหาแสงหรือไม่”...สำหรับผู้เขียนแล้วมองว่า นี่ช่างเป็นเรื่องปกติเสียเหลือเกินของ Public Figure หรือบุคคลสาธารณะท่ามกลางสปอตไลต์ ที่จะต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้ การขุดเรื่องราวในอดีตของคนจำพวกนี้ขึ้นมาวิจารณ์ทั่วทุกสารทิศไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร และไม่ใช่การหาแสงอย่างที่ชาวทวิตเตอร์บางส่วนกล่าวหา ตราบใดที่บุคคลสาธารณะเสียงดังกว่าคนอื่น มีพื้นที่ที่คนสังเกตเห็นได้ชัดมากกว่าคนอื่น หรือกระทั่งมีจำนวนคนติดตามโซเชียลมีเดียมากกว่าคนอื่นๆ คุณก็แค่ใช้อภิสิทธิ์บนพื้นที่ของคุณในการแก้ต่างแก้ตัว และอธิบายความจริงไปก็เท่านั้น การกล่าวหาเหยื่อว่า “หาแสง” จากการออกมาแบ่งปันประสบการณ์อันเลวร้ายที่ตัวเองเจอมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการกระทำ Victim Blaming หรือการโทษเหยื่อในกรณีคดีข่มขืนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง
“แล้วคิดว่าถ้าโอมหรือครอบครัวของโอมมาอ่านแล้วจะไม่เสียใจหรือ”...จริงอยู่ที่ใครก็ตามบนโลกใบนี้มาอ่านคอมเมนต์ที่พูดถึงตัวเองในด้านลบก็จะต้องเสียใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าเป็นความจริงก็ควรจะต้องยอมรับให้ได้ และหากเมื่อพิจารณากันจริงๆ แล้วคนที่เสียใจจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่นักบูลลี่ แต่คือเหยื่อของนักบูลลี่ต่างหาก ที่ต้องทนอยู่กับบาดแผลทางจิตใจที่ไม่มีวันหาย และยิ่งในกรณีนี้ที่เป็นเด็กออทิสติกแล้วด้วย การอ้างว่าทุกคนล้วนแล้วแต่เคยแกล้งเพื่อนหรือเคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้น ก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะคงไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ที่เราจะเดินเข้าไปแกล้งเด็กออทิสติก และถึงแม้ว่าทุกคนจะเคยทำผิดพลาดในชีวิตมาทั้งนั้น แต่สำหรับบุคคลสาธารณะแล้ว ราคาที่ต้องจ่ายมันต่างกันกับคนทั่วไปอยู่แล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งประเด็นถกเถียงที่น่าสนใจก็คือ “ทำไมถึงไม่ไปเรียนโรงเรียนพิเศษ หรือที่ที่ถูกจัดเอาไว้ให้เด็กออทิสติกโดยเฉพาะ” คำถามนี้ช่างน่าเศร้า เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของคนที่ทวีตข้อความนี้ว่าช่างโลกแคบเสียเหลือเกิน ในประเทศที่กำลังพัฒนา กับความเสมอภาคด้านการศึกษาที่ไม่เคยเป็นจริง และระบบการศึกษาสามัญยังไม่เคยเข้ารูปเข้ารอยเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่า โรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษหลายแห่งนั้นมีราคาที่สูงลิบลิ่ว ในขณะที่บางครอบครัวต้องหาเช้ากินค่ำ มีเรตค่าตัวเป็นค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น และในบางกรณีเด็กพิเศษก็สามารถเรียนร่วมกับนักเรียนปกติได้ ดังนั้นการไล่พวกเขาออกไปให้กลายเป็นคนนอกแบบนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือ...
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่หน้าที่ของแฟนคลับที่จะออกมารับคำขอโทษของโอม หน้าที่นั้นเป็นหน้าที่ของเหยื่อ คนดูและแฟนคลับมีหน้าที่แค่ตัดสินใจว่าเราควรให้อภัย หรือสนับสนุนนักแสดงหรือศิลปินคนนี้ต่อไปหรือไม่ และแม้ว่าจะมีใครก็ตามยืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่ให้อภัย นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขาเช่นกัน
เรื่องยังไม่จบ...เพียงแต่ตอนนี้ทางค่ายและตัวของศิลปินในสังกัดยังไม่มีการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามเราก็คงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ทางต้นสังกัดจะจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างไร และหลังจากนี้จะมีการออกแถลงการณ์ขอโทษหรือแถลงการณ์อื่นๆ จากตัวนักแสดงเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และวงการนี้ยังจะมีที่หยัดยืนให้กับอดีตนักบูลลี่หรือไม่...
WATCH