series-soundtrack
LIFESTYLE

10 เพลงประกอบซีรี่ส์ในความทรงจำ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใด แต่ได้ยินเมื่อไรก็ยังร้องตามได้เสมอ

จะมีเพลงประกอบซีรี่ส์เพลงใดบ้างที่ได้ยินแล้วก็อดร้องตามไม่ได้ บทความนี้จะพาย้อนความทรงจำไปพร้อมกัน

       นอกจากเรื่องราวที่สนุกน่าติดตาม เคมีนักแสดงที่เข้ากัน และบทที่ถูกเขียนมาอย่างประณีตแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะขาดไม่ได้สำหรับการเติมเต็มซีรี่ส์สักเรื่องให้สมบูรณ์แบบคือ ‘เพลงประกอบ’ เพราะเมื่อเพลงประกอบเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจอ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ‘เมจิกโมเมนต์’ ที่จะตราตรึงในความทรงจำผู้ชมได้อีกนานแสนนาน และไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เมื่อไร หากหวนได้ยินบทเพลงเหล่านั้นอีกครั้ง ภาพวันคืนเก่าๆ ก็ย้อนกลับมาเสมอจนอดไม่ได้ที่จะร้องตามไปด้วย

       แน่นอนว่าเพลงประกอบซีรี่ส์ในความทรงจำมีมากมายจนไม่อาจกล่าวถึงได้หมด แต่อย่างน้อยทั้ง 10 เพลงที่หยิบยกมาในบทความนี้ก็น่าจะมีที่ตรงใจกับผู้อ่าน และพาย้อนสู่ห้วงความทรงจำชวนยิ้มตามได้ไม่มากก็น้อย


1. ‘I’ll Be There for You’ จากเรื่อง Friends

       ถึงแม้การหยิบ Friends ซีรี่ส์ซิตคอมแห่งยุค 90s มาปัดฝุ่นดูใหม่อีกรอบผ่านทางแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มาพร้อมปุ่ม ‘Skip’ จะทำให้โอกาสในการดื่มด่ำอรรถรสไปกับบทเพลง 'I’ll Be There for You' ของศิลปิน The Rembrandts ถูกหลงลืมไปบ้าง เนื่องจากเพลงนี้คือเพลงที่บรรเลงในช่วงเปิดก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องแต่ละตอน แต่ก็มีหลายครั้งเช่นกันที่อดไม่ได้ที่จะดูช่วงอินโทรประกอบเพลง I’ll Be There for You จนจบถึงตอนที่ Monica เอื้อมมือมาปิดโคมไฟ

       นอกจากท่วงทำนองที่ไพเราะสนุกสนานแล้ว อินโทรของ Friends แต่ละซีซั่นยังมีความแตกต่างกันไป โดยจะเป็นการรวบรวมวีรกรรมของเหล่ากลุ่มเพื่อนทั้ง 6 เอาไว้ ทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจเท่าไรนัก อีกทั้งเนื้อเพลง I’ll Be There for You ถูกเรียบเรียงมาเป็นอย่างดี บอกเล่าเรื่องราวของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อะไรก็ไม่เป็นดั่งหวัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ ทำให้เพลงจากยุค 90s เพลงนี้ยังคงโดนใจผู้ชมยุคปัจจุบันได้ 



WATCH





2. 'Make It Rain' จากเรื่อง Sons of Anarchy 

       ใครจะคิดว่าศิลปินสุดป๊อปแห่งยุคอย่าง Ed Sheeran จะกระโดดมาร่วมทำเพลงประกอบซีรี่ส์ที่รสชาติดราม่าเข้มข้นอย่าง Sons of Anarchy และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นคือผลลัพธ์ที่ออกมาอยู่ในระดับน่ามหัศจรรย์ น้ำเสียงแห่งความปวดร้าวของเอ็ด ชีแรนในเพลง 'Make It Rain' ถ่ายทอดวิบากกรรมแห่งชีวิตที่เหล่าตัวละครต้องเผชิญได้อย่างดำดิ่งในห้วงอารมณ์

       เดิมทีแล้วต้นฉบับเพลง Make It Rain ไม่ใช่ของเอ็ด แต่เป็นของศิลปินชาวไอร์แลนด์เหนือชื่อ Foy Vance ซึ่งร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับเอ็ดในช่วงปี 2014 ทำให้เอ็ดได้ยินท่อนหนึ่งของเพลงที่ร้องว่า "When the sins of my Father / Weigh down in my soul"  โดยบังเอิญ ทันใดนั้นเอ็ดรู้สึกว่ามันช่างเหมาะกับการนำไปประกอบซีรี่ส์เรื่องโปรดของเขาอย่าง Sons of Anarchy อย่างมาก เขาจึงนำไอเดียนี้ไปเสนอกับ Kurt Sutter หัวเรือใหญ่ผู้สร้าง Sons of Anarchy ก่อนที่สุดท้ายจะได้รับการอนุมัติให้เอ็ดนำเพลงนี้มาขับร้องใหม่ในฉบับของเขา เพื่อใช้ประกอบใน Sons of Anarchy ซีซั่นสุดท้าย ที่เรียกได้ว่าถึงผู้ชมจะได้รับฟังมันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็มากพอสำหรับการจารึกลงในความทรงจำ

3. 'Carry on Wayward Son' จากเรื่อง Supernatural 

       ถือเป็นส่วนผสมที่แตกต่างแต่เข้ากันได้เป็นอย่างดีสำหรับ 'Carry on Wayward Son' เพลงร็อกโปรเกรสซีฟจากปี 1976 ในอัลบั้ม Leftoverture ของศิลปินวง Kansas กับ Supernatural ซีรี่ส์แนวแฟนตาซีเหนือธรรมชาติที่ออกอากาศทางช่อง CW ต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 2005-2020 นอกจากนั้นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าเพลง Carry on Wayward Son มีส่วนสำคัญกับซีรี่ส์ Supernatural อย่างลึกซึ้งคือการที่ตอนอวสานในซีซั่นที่ 15 มีชื่อตอนว่า Carry on เป็นความตั้งใจของผู้สร้างอย่างมีนัยยะสำคัญว่าให้ชื่อตอนกับชื่อเพลงคล้องจองกันด้วย


4. 'I Don’t Want to Be' จากเรื่อง One Tree Hill 

       'I Don't Want to Be' คือบทเพลงที่มีกลิ่นอายของยุค 2000s อัดแน่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ผลงานจาก Chariot อัลบั้มแรกในชีวิตของ Gavin DeGraw ก่อนที่เพลงนี้จะดังเป็นพลุแตกเมื่อได้รับเลือกให้เป็นเพลงโอเพนนิ่งธีมซีรี่ส์เรื่อง One Tree Hill ที่ออกอากาศทางช่อง CW ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของกลุ่มวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองทรีฮิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ถึงแม้ในปัจจุบัน One Tree Hill จะถูกหยิบยกมาพูดถึงไม่บ่อยครั้ง แต่ I Don’t Want to Be ยังคงถูกบรรเลงอยู่เรื่อยมา ซึ่งก็เป็นบทพิสูจน์ความเหนือกาลเวลาของบทเพลงนี้ได้อย่างชัดเจน


5. 'Where You Lead' จากเรื่อง Gilmore Girl 

        เมื่อไรก็ตามที่เพลง 'Where You Lead' ดังขึ้นมา พนันได้เลยว่าเหล่าแฟนซีรี่ส์เรื่อง Gilmore Gilrs จะต้องมีแอบยิ้มตามไปด้วย นั่นก็เพราะนี่คือบทเพลงที่เปรียบเสมือนการร้อยเรียงเรื่องราวมิตรภาพ 2 แม่ลูกอย่าง Lorelai Gilmore และ Rory Gilmore ได้อย่างงดงาม นอกจากนั้น Carole King และ Louise Goffin ศิลปินผู้ขับร้องเพลงนี้ก็ยังเป็นคู่แม่ลูกกันในชีวิตจริงอีกด้วย ยิ่งเป็นการทวีความลึกซึ้งจับใจลงไปในทุกบรรทัดโน้ตให้ผู้ชมได้เข้าถึงอารมณ์เพลงมากขึ้น



6. 'You’ve Got Time' จากเรื่อง Orange is the New Black 

       เรื่องนี้เริ่มต้นจาก Jenji Kohan ผู้เขียนบทซีรี่ส์ดราม่าคอมเมดี้เรื่องเยี่ยมจากค่าย Netflix อย่าง Orange is the New Black ติดต่อไปยังศิลปินแนว Anti-folk ชื่อดังอย่าง Regina Spektor ให้ช่วยแต่งเพลงประกอบซีรี่ส์เรื่องนี้ โดยเธอเผยว่า “ตอนที่ฉันเขียนบท Orange is the New Black ฉันหมกหมุ่นกับการฟังเพลงของเธอ (Regina Spektor) เอามากๆ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะต้องให้เธอมาทำเพลงประกอบซีรี่ส์เรื่องนี้ให้ได้” ซึ่งโจทย์ที่เจนจิมอบให้สเปกเตอร์คือ “ให้จินตนาการถึงสภาพจิตใจตอนโดนจับเข้าไปขังในคุก และเขียนเป็นเพลงออกมา” ก่อนที่ผลลัพธ์จะกลายเป็นเพลง 'You’ve Got Time' ให้ทุกคนได้ฟัง และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 56 สาขา Best Song Written for Visual Media ซึ่งถือเป็นการได้เข้าชิงครั้งแรกของสเปกเตอร์อีกด้วย

7. 'Hey Girl' จากเรื่อง New Girl 

       การให้ผู้ชมเข้าถึงอารมณ์เพลงประกอบซีรี่ส์มากขึ้น ก็คงจะต้องให้นักแสดงนำของซีรี่ส์เรื่องดังกล่าวเป็นผู้ขับร้องด้วยตัวเอง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพลง Hey Girl ที่ถูกเติมแต่งความน่ารักด้วยน้ำเสียงของ Zooey Deschanel และถูกนำมาใช้ประกอบซิตคอมเรื่อง New Girl ที่ตัวเธอเองรับบทนำ ซึ่งซิตคอมเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวชุลมุนวุ่นรักระหว่าง Jesse หญิงสาวผู้ไม่อยู่กับร่องกับรอยและชายโสด 3 คนที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน เจสซีได้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยหลังจากที่ช้ำรักจากการเลิกรากับแฟนเก่า เรียกได้ว่าแค่พล็อตเรื่องก็มีกลิ่นอายความโรแมนติกคอมเมดี้อย่างชัดเจน และมันก็ยิ่งลงตัวเข้าไปอีกเมื่อมีบทเพลง Hey Girl มาประกอบ


8. 'California' จากเรื่อง The O.C.

       วัยรุ่นยุคนี้อินกับ Euphoria อย่างไร วัยรุ่นยุค 2000s ก็อินกับ The O.C. ไม่ต่างกัน โดยย้อนกลับไปในช่วงปี 2003-2007 เรื่อง The O.C. คือหนึ่งในซีรี่ส์เพียงไม่กี่เรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวปัญหาแสนเจ็บปวดที่เหล่าวัยรุ่นต้องเผชิญ โดยมีฉากหลังเป็นย่านนิวพอร์ตบีช ออเรนจ์เคาน์ตี้ แคลิฟอร์เนีย นอกจากเรื่องราวแสนเข้มข้นแล้ว เพลงประกอบอย่าง 'California' ของวงร็อกชาวอเมริกัน Phantom Planet ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าจดจำไม่แพ้กัน ถึงแม้เนื้อเพลงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยตรง แต่สื่อถึงกลิ่นอายความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญในแคลิฟอร์เนียได้เป็นอย่างดี


9. 'Cold Little Heart' จากเรื่อง Big Little Lies 

       เสน่ห์ที่ทำให้ซีรี่ส์เรื่อง Big Little Lies ขึ้นแท่นกลายเป็นมาสเตอร์พีซคือตลอดระยะเวลาที่รับชมผู้ชมจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ไม่สามารถเชื่อใจตัวละครตัวไหนได้เลย ซึ่งมวลอารมณ์แบบนี้ก็อัดแน่นอยู่ในเพลงประกอบอย่าง Cold Little Heart โดยศิลปิน Michael Kiwanuka ด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการที่เพลงประกอบทำให้ซีรี่ส์สมบูรณ์ขึ้นเป็นอย่างไร


10. 'Hey Beautiful' จากเรื่อง How I Met Your Mother

       หากบอกว่าเพลง Hey Beautiful ของศิลปิน The Solids คือเพลงประกอบซิตคอมเรื่อง How I Met Your Mother หลายคนอาจจะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะปกติแล้วเราจะได้ยินเพลงนี้เพียง 11 วินาทีเท่านั้น ในทำนองแสนคุ้นหู ‘Pa pa pa pa, pa pa pa pa...Pa pa, da da da da, da da da da da...’ ก่อนที่อินโทรจะจบลง และเรื่องราวในตอนจะเริ่มขึ้น แต่เวลาเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันเป็นท่วงทำนองที่ยังตราตรึงใจผู้ชมอย่างไม่เสื่อมคลาย

 


ข้อมูล : NME, Youtube
ภาพ : Helloflo
เรียบเรียง : Ramita Naungtongnim

WATCH