LIFESTYLE
ย้อนรอยประวัติศาสตร์โอลิมปิก! มหกรรมกีฬาที่ว่าด้วยเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ#VogueScoop สัปดาห์นี้ขอพาผู้อ่านทุกคนย้อนรอยประวัติศาสตร์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่มีมาช้านาน แม้ใจความหลักของมหกรรมนี้จะเป็นการแข่งขันกีฬา ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อผสานความเป็นผืนแผ่นเดียวกันของทุกประเทศในโลกใบนี้อย่างแท้จริง ทั้งยังร่วมสร้างความทรงจำและความสำคัญไว้ไม่รู้ลืม |
‘วินาทีแห่งชัยชนะ จะถูกจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล’ ประโยคนี้ถือเป็นประโยคสำคัญของใครหลายคนที่ล้วนฝันถึง เฉกเช่นดั่ง ‘นักกีฬา’ ที่หมั่นฝึกฝนจนอาจเรียกได้ว่าถึงขั้นยอมทุ่มเททั้งกายใจในช่วงชีวิตของพวกเขาเพื่อให้ได้มันมา ยิ่งการได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนทั้งในระดับย่อยไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อก้าวสู่ระดับโลกในภายภาคหน้าก็เป็นสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ได้รับหน้าที่เพื่อทำความฝันของแต่ละประเทศหรือแม้แต่ตัวเองให้เป็นจริงสักวัน ‘การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก’ จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เหล่าผู้คนต่างตั้งตารอคอยที่จะเห็นทั้งความเก่งกาจ และวัฒนธรรมต่างๆ ของแต่ละประเทศที่จะนำเสนอออกมาให้ทั่วโลกได้รับรู้ แม้ใจความหลักของมหกรรมนี้จะเป็นการแข่งขันกีฬา ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อผสานความเป็นผืนแผ่นเดียวกันของทุกประเทศในโลกใบนี้อย่างแท้จริง โว้กสกู๊ปสัปดาห์นี้ขอพาผู้อ่านทุกคนย้อนรอยประวัติศาสตร์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่มีมาช้านาน และเวลาจะผ่านมาร่วมศตวรรษแต่ก็ยังคงความทรงจำและความสำคัญไว้ไม่รู้ลืม
ภาพ: History Collection
ย้อนกลับไปในช่วงสมัยราชอาณาจักรกรีซโบราณ ณ เทือกเขาโอลิมปัส ถือเป็นแหล่งกำเนิดของกีฬาโอลิมปิกครั้งแรก โดยสมัยนั้นเป็นการประลองฝีมือของเหล่านักรบก่อนจะพัฒนามาเป็นกีฬาประเภทกรีฑา ต่อสู้ และขี่ม้าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ช่วงเวลานั้นจึงจำเป็นต้องมีแต่ผู้ชายที่เข้าร่วมการแข่งขัน เพราะนอกจากจะต้องใช้พลกำลังมากแล้ว ยังจำเป็นต้องเปลือยกายเพื่อแสดงถึงความกำยำของร่างกายอีกด้วย จนเวลาล่วงเลยมาถึง 1,200 ปีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็ยังไม่มีกีฬาที่หลากหลายประเภทมากนัก จะยังคงเน้นไปที่การนำเสนอถึงความแข็งแกร่งของร่างกายเสียมากกว่า อาทิ วิ่ง กระโดด มวยปล้ำ หรือพุ่งแหลน เป็นต้น ก่อนที่โอลิมปิกจะถูกยกเลิกไปเนื่องจากมีประเด็นการพนันในหมู่คนเชียร์ หรือแม้แต่นักกีฬาด้วยกันเอง และมีการว่าจ้างให้นักกีฬาลงแข่งหรือรับจ้างให้ล้มมวยในแต่ละการแข่งขัน จึงทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยเก่าสิ้นสุดลง ทว่าเมื่อดำเนินมาถึงปี 1889 มหกรรมดังกล่าวได้นำกลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง พร้อมก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่โดยขุนนางชาวฝรั่งเศสอย่างบารอน ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ได้หารือร่วมกับฝั่งประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เพื่อรื้อฟื้นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และริเริ่มการแข่งขันครั้งแรกในวันที่ 6 เมษายน 1896 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ที่รับหน้าที่เปิดประเดิมเป็นเจ้าภาพแรก และได้รับการตอบรับจากประเทศที่เข้าร่วมถึง 15 ประเทศ
ภาพ: paris2024 Instagram Account
หลังจากนั้นเป็นต้นมากีฬาโอลิมปิกจึงถูกกำหนดให้จัดขึ้นทุกๆ 4 ปีและมีกีฬาหลากหลายประเภทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการพบปะกันของแต่ละประเทศ และอีกหนึ่งจุดประสงค์สำคัญคือต้องการนำเสนอกีฬาจากหลายๆ ประเทศรวมกัน เพื่อแสดงถึงความเป็นเลิศทางกีฬาที่แต่ละประเทศถนัดแตกต่างกันออกไป ฉะนั้นสัญลักษณ์ 5 ห่วงไขว้กันทั้ง 5 สี ที่ประกอบไปด้วยสีฟ้า, สีเหลือง, สีดำ, สีเขียว และ สีแดงจึงหมายถึงทวีปทั้ง 5 ทวีปอย่างทวีปยุโรป, ทวีปอเมริกา, ทวีปออสเตรเลีย, ทวีปแอฟริกา และทวีปเอเชียจะผสานเป็นผืนแผ่นเดียวบนธงสีขาวอันแสดงถึงความสามัคคีและปรองดองกันนั่นเอง
WATCH
สิ่งที่ผู้คนสนใจในการแข่งขันไม่ใช่แค่การแข่งขันกีฬาของแต่ละประเทศที่ต่างงัดความเชี่ยวชาญมาแสดงถึงศักยภาพที่มีของตัวนักกีฬาเท่านั้น ทว่าพิธีการต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กีฬาโอลิมปิกดำเนินอยู่เรื่อยมาจนก้าวเข้าสู่หลักพันๆ ปี การจุดคบเพลิงในพิธีเปิดโอลิมปิกก็เป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอย ที่เริ่มปฏิบัติกันมาอย่างช้านานโดยให้หญิงสาวบริสุทธิ์ผู้ปราศจากมลทินเป็นบุคคลจุดคบเพลิงบนยอดเขาโอลิมปัสเนื่องจากแสดงถึงการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทั้งยังแสดงถึงเปลวไฟที่มอบความหมายถึงแสงสว่างไสวเผื่อแผ่ไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศผู้เป็นเจ้าภาพในการแข่งขันแต่ละครั้ง หลังจากนี้จะมีการวิ่งส่งต่อคบเพลิงไปจนถึงกระถางขนาดใหญ่สำหรับจุดคบเพลิงในละแวกพื้นที่การแข่งขัน โดยห้ามให้ไฟดับตั้งแต่เทือกเขาโอลิมปัสจนเดินทางมาถึงประเทศเจ้าบ้าน และจำเป็นต้องมีแสงสว่างของเปลวไฟตลอดการแข่งขันจนกว่าการแข่งขันจะสิ้นสุดและทำการดับดวงไฟนั้นลง
ภาพ: Olympics
แน่นอนว่ามหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกประจำปี 2024 ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามดั่งเช่นที่เคยเป็นมา แต่ครั้งนี้ประเทศที่งดงามไปด้วยอารยธรรม วัฒนธรรม ศิลปะและแฟชั่นอย่างฝรั่งเศสจะรับหน้าที่เป็นภาพการแข่งขันในครั้งนี้ และที่น่าสนใจไปกว่านั้นนี่คือการเวียนมาบรรจบครบรอบ 100 ปีที่ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศเจ้าบ้านในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทั้งยังเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ครั้งที่ 1 และ 2 ได้จัดขึ้นไปเมื่อปี 1900 และ 1924 ตามลำดับ โดยในแต่ละครั้งฝรั่งเศสก็สร้างตำนานให้เป็นที่จดจำทุกเมื่อ ในปี 1900 ถูกกล่าวถึงไปทั่วโลกเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้หญิงเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในฐานะนักกีฬาหลังจากที่ให้ผู้ชายเป็นผู้เข้าแข่งขันมาตั้งแต่เริ่ม ส่วนปี 1924 ฝรั่งเศสมีการสร้างหมู่บ้านโอลิมปิกแห่งแรกขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับการแข่งขันดังกล่าวอีกด้วย
ภาพ: OMEGA
อีกหนึ่งสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้คือความภาคภูมิใจของเรือนเวลาระดับโลก ‘OMEGA’ ที่ร่วมเดินทางข้ามเวลาประวัติศาสตร์พร้อมกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งจุดเริ่มต้นเกิดขึ้น ณ นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1932 โดยมีการส่งช่างนาฬิกาจาก Bienne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปทำหน้าที่จับเวลาที่เมืองลอสแอนเจลิส พร้อมกับนาฬิกาจับเวลาความเที่ยงตรงสูงจำนวน 30 เรือน ซึ่งเทคโนโลยีในสมัยนั้นสามารถบอกเวลาได้ละเอียดถึงระดับ 1/10 ของวินาทีเท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีของนาฬิกาที่ให้ความแม่นยำสูงทำให้โอเมก้าเป็นแบรนด์นาฬิกาแบรนด์แรกในประวัติศาสตร์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการสำหรับโอลิมปิก โดยในปีนั้นจากวันนั้นจนถึงครั้งล่าสุดที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศส โอเมก้าได้รับหน้าที่นี้รวมแล้วถึง 31 ครั้ง
เมื่อประวัติศาสตร์ทั้งการเดินทางของมหกรรมกีฬาโอลิมปิกและการเดินหน้าต่อของหน้าที่ผู้จับเวลาของโอเมก้าจะยังคงดำเนินต่อไปในทุกๆ สี่ปี รวมถึงปีนี้เองที่กระแสมาแรงตั้งแต่การรังสรรค์ชุดของเหล่านักกีฬาสำหรับพิธีเปิดและปิดของมหกรรมครั้งนี้ ไปจนถึงเหล่าประเทศตัวเต็งที่เรียกได้ว่าไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าประเทศใดจะมาครองชัยชนะกีฬาแต่ละประเภทไปได้ ทุกสายตาไม่ควรพลาดที่จะจับจ้องประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้...
ข้อมูล : Olympics, BBC, The Economist
กราฟิก : จินาภา ฟองกษีร
WATCH