LIFESTYLE
การกลับมาของละครเพลง Cabaret โดยมี Eddie Redmayne รับบทเป็นหัวเรือใหญ่แห่ง Kit Kat Club อีกครั้ง!การเล่นละครเพลง Cabaret ครั้งแรกของเขานั้นอายุเพียง 19 และจัดแสดงในโรงละครโทรมๆ แต่เขากลับได้รับบทบาท 'เอ็มซี' อีกครั้ง แต่เป็นละครเวทีระดับบรอดเวย์อย่างที่ไม่เคยคาดคิด |
รอยยิ้มไม่ค่อยมั่นใจปรากฏบนหน้าเอ็ดดี้ “ผมมีความขี้วิตกเป็นแรงผลักดัน” เขาบอกเบาๆ “มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว แต่ที่สุดแล้ว ผมว่าคนเราเกิดมาครั้งเดียว ถึงมันจะพังพินาศ ผมก็ได้เล่นบทที่รู้สึกอยู่ข้างในมาตลอดว่ายังไม่สมบูรณ์ ถ้าผมไม่เล่นก็อาจจะเสียดายไปตลอดชาติ” เราคุยกันเรื่องการหวนคืนเวทีละครอย่างกล้าหาญของเอ็ดดี้ เพื่อรับบทเอ็มซี ผู้มีเสน่ห์ลึกลับใน Cabaret ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ที่เอ็ดดี้มารับบทนี้ ครั้งแรกเขาอายุ 19 และเพิ่งจบจากโรงเรียนอีตัน เป็นละครนักศึกษาในเทศกาล Edinburgh Fringe จัดแสดงในโรงละครโทรมๆ “ผมไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน แล้วก็ผอมเหลือแต่กระดูก แต่จำได้ว่าระทึกใจดี” ฟาสต์ฟอร์เวิร์ดมา 20 ปี ความตื่นเต้นก็ยังคงอยู่เขาได้รับการทาบทามจากผู้ก่อตั้งเทศกาลรายเดิมให้กลับมารับบทเก่า แล้วเอ็ดดี้ก็ไปถาม Jessie Buckley ดารานำเรื่อง Wild Rose and July ว่าอยากรับบทแซลลี่ โบลส์ นักร้องเจ้าของเรื่องราวที่เป็นหัวใจของ Cabaret หรือเปล่า เขาบอกว่า “เจสซี่มีสปิริตเหนือธรรมดา แล้วก็มีความเป็นอนาธิปไตยอยู่ในตัว”
Cabaret ปี 1972
เมื่อเปิดแสดงครั้งแรกที่บรอดเวย์ในปี 1966 Cabaret ได้ชื่อว่าเป็นละครเพลงมีธีมเรื่องแรก เนื้อเรื่องนั้นมาจากหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติของ Christopher Isherwood ชื่อ Good-bye to Berlin และจับธีมการต่อต้านคนยิวและการทำแท้งมาเสนออย่างแหวกแนวสุดขั้ว ผู้กำกับ Hal Prince ให้เอ็มซีเล่นกับคนดูโดยตรง แยกจากเส้นเรื่องหลักคือความสัมพันธ์ระหว่างแซลลี่กับคลิฟฟ์ นักเขียนอเมริกัน ในความคิดของฮาล คาเบเรต์แห่งนี้เปรียบได้กับเยอรมนีในช่วงที่นาซีขึ้นมามีอำนาจ ตัวละครจึงเข้าไปอยู่ในบริบทเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าพรั่นพรึง ส่วนเวอร์ชั่นภาพยนตร์ปี 1972 ที่กำกับโดย Bob Fosse และนำแสดงโดย Liza Minnelli ก็เพิ่มองค์ประกอบที่เด่นจนเป็นภาพจำเข้ามา
ความท้าทายสำหรับรีเบกก้าคือต้องสื่อความใหม่พลิกวงการออกมาให้ได้ “ฉันสนใจเสมอว่าจะเล่าให้เป็นเรื่องใหม่ได้อย่างไร” รีเบกก้าเปิดใจ “มีหลายอย่างผุดขึ้นจากข้างใต้ทั้งการเมือง เพศสภาพ ระดับขั้น ภาพเหมารวมความกลัวที่มนุษย์มีต่อความเป็นอื่นและความแตกต่าง รวมไปถึงการนำสิ่งนั้นมาใช้เป็นอาวุธเอ็ดดี้นำแง่มุมที่คาดไม่ถึงมาเติมให้เรื่อง”
ที่จริงการเลือกเอ็ดดี้มารับบทก็ทำให้คนบางกลุ่มไม่สบายใจ ทอม สกัตต์อธิบายว่า “ตามประวัติแล้วบทนี้แสดงภาพชาวเควียร์มาตลอด” เริ่มตั้งแต่ครั้งที่ Joel Grey รับบทเอ็มซีโดยทาหน้าขาว และถูกตอกย้ำผ่านการตีความครั้งต่อๆ มา รวมทั้งการตีบทของ Alan Cumming ที่ทั้งสะกดคนดูและข่มขวัญไปพร้อมกัน (โจลกับอลันเป็นเกย์ทั้งคู่ แต่เอ็ดดี้ไม่ได้เป็น) พอฉันเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เอ็ดดี้ก็นิ่งไปชั่วขณะ “ผมหวังว่าพอคนได้ดูการตีความครั้งนี้ จะเห็นตรงกันว่าเลือกนักแสดงถูกแล้ว” เขาบอก “ผมมองว่าตัวละครตัวนี้แปลงกายไปเรื่อยๆ และผ่านอะไรมาเยอะ”
“แปลงกาย เป็นคำที่พวกเราใช้บ่อย” ทอมบอก “แล้วก็ไม่ได้ใช้กับเอ็ดดี้คนเดียว มันเหมือนเป็นคำอุปมาแทนยุคนั้น เป็นงานเลี้ยง ณ จุดอวสานของโลก” เจสซี่ก็มองเห็นความคู่ขนานกับปัจจุบัน “พวกเขาต้องรู้แล้วว่าชีวิตคนเรามันสั้น” เธอว่า “สิ่งที่เรากำลังจะก้าวพ้นไปตอนนี้ไม่ใช่สงครามโลกก็จริงแต่ความกลัวตายน่ะมีอยู่จริง”
WATCH
เอ็ดดี้ดูพะวงกับการหวนคืนเวทีละคร เป้าหมายของเขาคือการได้เจอห้วงแห่งการทดสอบที่เปิดช่องให้เห็นความสัตย์จริงภายใน “นี่แหละเหตุผลที่ผมรักงานที่ตัวเองทำ ในชั่วขณะที่แสนหายาก บางสิ่งเป็นจริงขึ้นมา ตรงนี้แหละที่เป็นยาเสพติด” เขายิ้มอีก คงจะนึกถึงโมเมนต์ที่เอ็มซีก้าวขึ้นเวที ถอดความปลอมเปลือกทั้งหลายออก เผยให้เห็นบางสิ่งที่จริงแท้
แปลและเรียบเรียง : วิริยา สังขนิยม
WATCH