Audrey Hepburn biography
LIFESTYLE

Audrey Hepburn ดวงดาวอันเฉิดฉายแห่งฮอลลีวู้ด และด้านอับแสงที่ถูกปกปิดเอาไว้ของเธอ

หลายคนอาจเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์งามประจักษ์ของเธอ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า 'ความงาม' ของเธอคือร่องรอยแห่งตราบาปในชีวิตที่เธอไม่เคยภูมิใจเลยแม้แต่น้อย

     ย้อนกลับไปในปี 1961 ภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany’s กลายเป็นสิ่งที่ถูกโจษขานกันอย่างหนาหูในแวดวงฮอลลีวู้ด ไม่เพียงแค่บทภาพยนตร์สุดประณีตที่ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อดังในชื่อเดียวกัน หากการปรากฏตัวของผู้หญิงที่ชื่อ Audrey Hepburn พร้อมกับรูปลักษณ์ความงามที่ทำให้หนุ่มอเมริกันหลายคนต่างตะลึงงัน ในบทบาทของตัวละคร Holly Golightly ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนั้นทันที เพราะออเดรย์ในชุดกระโปรงยาวสีดำ ผลงานการออกแบบและตัดเย็บโดยห้องเสื้อ Givenchy พร้อมแว่นตาสุดเท่ และเครื่องประดับจิวเวลรีจัดเต็มในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ไปเตะตาเหล่าสาวกสายแฟชั่นเข้าอย่างจัง ขนาดที่ว่าชุดกระโปรงสีดำทั้งสั้นยาวได้กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นสุดไอคอนิกที่สุภาพสตรีทั่วโลกต้องมีเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าของพวกเธอจนถึงทุกวันนี้ นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้แวดวงแฟชั่นและสไตล์ตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้แบบโงหัวไม่ขึ้น

Audret Hepburn in Breakfast at Tiffany's

     ออเดรย์ เฮปเบิร์น คือนักแสดงหญิงชาวอังกฤษเชื้อสายดัตช์เพียงไม่กี่คนที่ถูกจัดอันดับว่าเป็น 1 ใน 10 นักแสดงที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกใบนี้ อีกทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าหญิงแห่งวงการฮอลลีวู้ดยุคทอง’ ผลงานภาพยนตร์ของเธอหลายเรื่องกลายเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday ที่ทำให้เธอสามารถคว้ารางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ ในปี 1954 ตามมาด้วยการสร้างชื่อผ่านผลงานภาพยนตร์หลายเรื่องอย่าง Breakfast at Tiffany’s, Charade และ My Fair Lady รวมระยะเวลาบนเส้นทางสายบันเทิงของเธอยาวนานกว่า 19 ปีด้วยกัน ก่อนที่ในปี 1969 เธอจะประกาศอำลาวงการฮอลลีวู้ดอย่างเป็นทางการ ทว่ายังคงปรากฏตัวตามงานต่างๆ ให้สาวกแฟนคลับของเธอหลายคนได้หายคิดถึงอยู่เรื่อยๆ 

Audrey Hepburn Youth rare photo

     ในสารคดีเรื่อง Audrey: More Than An Icon ที่ออกฉายทางสตรีมมิ่ง HBO ไปเมื่อปี 2020 ได้ระบุว่าความโด่งดังและความสำเร็จของออเดรย์นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการก้าวขาเข้ามาในโลกฮอลลีวู้ดได้อย่างถูกที่ถูกเวลา อันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากนิยามความงามแบบเก่าซึ่งละลานตาไปด้วยเหล่าผู้หญิงบุคคลิกสาวยั่วสวาท (Sex Symbol) และผู้หญิงสไตล์ Girl Next Door นั่นทำให้ความงามหวานหยดย้อย น่าทะนุถนอมของออเดรย์กลายเป็นจุดเด่นมากพอที่สปอตไลต์ทุกตัวที่หันหาผู้หญิงจำพวกนั้นมาเป็นเวลานาน จะหันกลับมาส่องสว่างให้เธอกลายเป็นดวงดาวแห่งฮอลลีวู้ดอย่างง่ายดาย กอปรกับทักษะด้านบัลเลต์ที่เธอเคยศึกษาในช่วงวัยเยาว์ ก็ยิ่งทำให้การแสดงของเธอนั้นไหลลื่นและเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันได้ไม่ยาก

     กระนั้นดวงดาวแห่งฮอลลีวู้ดก็มี ‘ด้านอับแสง’ แสนรันทดที่ใครหลายคนอาจไม่เคยรับรู้มาก่อน...



WATCH




Audrey Hepburn

     ออเดรย์เติบโตมากับแม่ของเธอในกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม แม้ว่าในช่วงแรกของชีวิตเธอจะสุขสบาย และได้รับสิทธิพิเศษในการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรปและได้เรียนรู้ภาษามากถึง 6 ภาษาด้วยกัน ทว่าเมื่อออเดรย์อายุได้เพียง 6 ปี พ่อของเธอก็ได้ละทิ้งเธอและแม่ของเธอไปอย่างไร้เยื่อใย กระทั่งที่ออเดรย์ยังเคยออกปากให้สัมภาษณ์ว่า นั่นคือหนึ่งในตราบาปอันบอบช้ำที่สุดในชีวิตของเธอ แต่นั่นยังไม่ใช่ความโหดร้ายที่สุดในชีวิตที่ออเดรย์ต้องพบเจอ เพราะเมื่อปี 1939 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นอย่างเข้มข้น ชีวิตของออเดรย์ในวัย 10 ปีจึงต้องตกระกำลำบากใช้ชีวิตท่ามกลางสงครามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้กระทั่งความงามของรูปร่างเธอที่หลายคนต่างชื่นชมกันนักหนาว่าน่าทะนุถนอมนั้น ก็เป็นหนึ่งในผลพวงมาจากการขาดสารอาหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเช่นเดียวกัน ซึ่ง Luca Dotti ลูกชายของออเดรย์ยังเคยได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้เอาไว้ด้วยว่า จากคำบอกเล่าของผู้เป็นแม่นั้น สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเรื่องราวที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของออเดรย์ ตอนที่เธอรอดมาได้นั้นเธอเกือบจะตายแล้วด้วยภาวะทุพโภชนาการจากการขาดสารอาหาร เธออยู่รอดมาได้ด้วยการกินตำแย หัวทิวลิป และการดื่มน้ำให้มากๆ นั่นจึงส่งผลให้รูปร่างของเธอเล็กบาง เนื่องจากการพัฒนาทางร่างกายที่ไม่เต็มที่มากพอ โดยคนทั่วไปไม่ได้คำนึงถึงหน้าประวัติศาสตร์อันโหดร้ายตรงนี้เลยแม้แต่น้อย และนั่นเองที่เป็นเหตุผลให้ออเดรย์ตัดสินใจร่วมทำงานกับ UNICEF ในฐานะทูตด้านสิทธิมนุษยชนในแอฟริกาในเวลาต่อมา

     แม้ว่าความงามของออเดรย์จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางก็ตาม ทว่าในบทสัมภาษณ์กับสื่อ Vanity Fair เธอกลับเคยยอมรับว่าเธอไม่ได้พอใจในรูปลักษณ์ของเธอขนาดนั้น เธอบอกว่า ความงามของเธอคือส่วนผสมอันลงตัวของความบกพร่อง ทั้งจมูกที่ดูโตเกินไป เท้าของเธอที่ใหญ่เกินไป กระทั่งหน้าอกที่แบน และความผอมที่เป็นร่องรอยจากสงคราม ไม่ได้ทำให้เธอภูมิใจสักเท่าไหร่นัก กระนั้น ‘ความงามที่ไม่งาม’ ในแบบฉบับของออเดรย์ก็ยังคงเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้

Audrey Hepburn Aged

     สุดท้ายแล้วออเดรย์ก็จบชีวิตลงในวัย 63 ปี ด้วยโรคมะเร็งไส้ติ่ง ทิ้งเอาไว้เพียงเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานของวงการฮอลลีวู้ดทั้งด้านมืดและด้านสว่างปะปนกันไป เฉกเช่นดวงดาวบนท้องฟ้าที่มีทั้งด้านที่ส่องสว่างและอับแสง

ข้อมูล : Wikipedia: Audrey Hepburn, th.v-grrrl.com และ www.britanica.com

WATCH