ความละเอียดอ่อนประเด็นเรื่องการคุกคามทางเพศในปัจจุบันได้รับความสำคัญมากขึ้นจากคนในสังคม เมื่อก่อนเราอาจเห็นเรื่องแดงขึ้นมาและเงียบหายไปตามสายลม แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เมื่อมีการกระทำผิดหรือมีข้อสงสัยเกิดขึ้น ผู้กระทำจะต้องแบกรับความกดดันและสูญเสียโอกาสในการใช้ชึวิตอย่างอิสระ ไม่สามารถลอยนวลอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังคงดึงดันให้นักแสดงหรือผู้กำกับมีส่วนสำคัญในผลงานก็หลีกเลี่ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปไม่ได้ และ Death on a Nile ภาพยนตร์จากดิสนีย์พลัสกำลังเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว

Armie Hammer ในภาพยนตร์เรื่อง Call Me By Your Name / ภาพ: Pinterest

     เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ Armie Hammer นักแสดงหนุ่มผู้ฝากผลงาน Call Me By Your Name ไว้ในความทรงจำของใครหลายคน แต่จากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยพัวพันกับคดีทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ จากข่าวนี้ทำให้เขาถูกยกเลิกคิวแสดงไปมากมาย แต่กับเรื่อง Death on a Nile เขากลับปรากฏตัวอย่างชัดเจนในภาพยนตร์ตัวอย่าง และคาดว่าจะปรากฏตัวให้เห็นตลอดทั้งเรื่องในภาพยนตร์ฉบับเต็ม งานนี้ก็มีเสียงวิจารณ์อย่างหนาหูว่าทำไมทีมผู้สร้างจึงยังใช้นักแสดงที่มีความพัวพันกับกรณีคุกคามทางเพศด้วย

ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Death on the Nile / ภาพ: Variety

     แต่ทางดิสนีย์พลัสก็ดูจะมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน เพราะแท้จริงแล้วภาพยนตร์เรื่อง Death on the Nile ถ่ายทำเกือบเสร็จและจะพร้อมเข้าฉายตั้งแต่ช่วงปี 2020 แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ต้องเลื่อนการถ่ายบางส่วน และแน่นอนว่าต้องเลื่อนวันเข้าฉาย อาร์มีเองก็ร่วมแสดงไปหลายฉากแล้วเช่นกัน การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่ลบเขาออกไปง่ายๆ แต่ต้องคิดพินิจอย่างรอบคอบ นี่คือโจทย์สำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องประเมินชั่งน้ำหนักว่าคุ้มหรือไม่ที่จะให้อาร์มีมีบทบาทในภาพยนตร์ที่เกือบสมบูรณ์แล้วต่อไป

Armie Hammer และ Gal Gadot ในภาพยนตร์เรื่อง Death on the Nile / ภาพ: MovieWeb

     ทางเลือกที่ฟังดูเป็นไปได้แต่อาจเป็นไปไม่ได้ มีทางเลือกมากมายให้ทีมผู้สร้างโดยเฉพาะ 2 ทางเลือกหลักคือการหานักแสดงมาแทนและถ่ายทำใหม่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับกรณีภาพยนตร์เรื่อง All the Money in the World ที่ตัด Kevin Spacey ออกด้วยสาเหตุการคุกคามทางเพศ หรืออีกทางหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อเปลี่ยนตัวละครให้มีรูปลักษณ์ต่างจากอาร์มีไปเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวลดูเป็นทางเลือกที่อาจฟังดูดี แต่เมื่อคิดถึงกระบวนการทำงานที่เลื่อนมาตั้งแต่ปี 2020 และภาพรวมเกือบสมบูรณ์ขนาดนี้ อาจเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำตามวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งแต่ละวิธีก็ล้วนใช้เวลาและเงินทุนมหาศาลจนกลายสร้างความเดือดร้อนให้ผู้สร้างก็เป็นได้ ดังนั้นทีมดิสนีย์พลัสก็ต้องยอมรับเสียงวิจารณ์โดยไม่มีข้อแก้ตัว ติดตามกันต่อไปว่าผลกระทบในการตัดสินใจครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไรต่อไป เชื่อว่าเรื่องนี้น่าติดตามไม่แพ้เนื้อเรื่องของภาพยนตร์

 

ข้อมูล: hollywoodreporter.com