LIFESTYLE
5 แอนิเมชั่นของ Makoto Shinkai ที่ตั้งคำถามถึงความรักหลากมุมมองแม้จะเป็นแอนิเมชั่น แต่มุมมองความรักที่ถูกถ่ายทอดออกมาก็ละเอียดอ่อนไม่แพ้ภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงจริง |
*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของอนิเมชั่นเรื่อง Voices of a Distant Star, 5 Centimeters per Second, Garden of Words, Your Name, และ Weathering with You
นอกจาก Studio Ghibli แล้ว เสาหลักของประเทศญี่ปุ่นที่สร้างสรรค์ผลงานอนิเมชั่นชั้นเยี่ยมตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ยังไงก็ต้องมีชื่อของ Makoto Shinkai รวมอยู่ในนั้น ถึงแม้ว่าสไตล์ของเขาจะแตกต่างกับสตูดิโอชื่อดังอย่างชัดเจนก็ตามในขณะที่ Studio Ghibli มักจะนำเสนอเรื่องราวในสเกลใหญ่ ว่าด้วยสังคม ประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งการเมือง แต่ Makoto กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในมิติเล็กๆ โดยเฉพาะเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว และถ่ายทอดออกมาผ่านงานภาพที่งดงามจับใจ
นอกจากเนื้อเรื่องเข้มข้นชวนให้ติดตามไปกับตัวละครว่าพวกเขาจะต้องพบเจอกับชะตากรรมอย่างไรบ้างแล้ว อีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญที่ทำให้ผลงานแต่ละเรื่องของ Makoto Shinkai ตราตรึงใจผู้ชมอย่างไม่เสื่อมคลายคือการที่เขามักจะทิ้งคำถามไว้ให้ผู้ชมกลับไปคิดต่อเสมอ โดยคำถามส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความรักหลากมุมมอง ในมิติที่แตกต่าง ซึ่งไม่มีคำตอบตายตัว ผู้ชมแต่ละคนย่อมมีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป
ในครั้งนี้เราจะนำคำถามจากอนิเมชั่นแต่ละเรื่องของ Makoto Shinkai กลับมาอีกครั้ง และให้ผู้อ่านทุกคนร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
Voices of a Distant Star (2002)
ถึงแม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังสิ่งที่อยู่ในใจของผู้กำกับ Makoto Shinkai แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาคงรู้สึกฝังใจกับการ “รอ” พอสมควรเลยทีเดียว เห็นได้จากมีอนิเมชั่นของเขาถึง 2 เรื่องจาก 2 ยุคสมัยที่ว่าด้วยเรื่องราวนี้
เรื่องแรกคือ Voices of a Distant Star หรือในชื่อไทย เสียงเพรียกจากดวงดาว อนิเมชั่นขนาดสั้นจากปี 2002 ผลงานลำดับที่ 3 ของ ชินไค ถือว่าเป็นผลงานในยุคบุกเบิกที่ชื่อเสียงของเขายังไม่โด่งดังนัก ว่าด้วยเรื่องราวในปี 2047 ของ มิคาโกะ และ โนโมรุ เด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นธรรมดาๆ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผูกพันกัน วางแผนจะเรียนต่อมัธยมปลายด้วยกัน แต่แล้ววันหนึ่งความฝันก็พังทลายลงไปกับตา เมื่อ มิคาโกะ ในฐานะเด็กอัจฉริยะ จำเป็นต้องเข้าร่วมกองทัพของสหประชาชาติ เพื่อขับขี่หุ่นยนต์ไปตามล่ามนุษย์ต่างดาวที่มารุกรานดาวอังคาร นั่นทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกันไป
ช่องทางเดียวที่สามารถติดต่อกันได้คืออีเมล์ของโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตามยิ่ง มิคาโกะ ออกห่างจากโลกไปเท่าไร ระยะเวลาที่ใช้ในการส่งข้อความก็ยิ่งนานขึ้นเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จนกระทั่งสุดท้ายที่หุ่นยนต์ของ มิคาโกะ จำเป็นต้องวาร์ประยะไกล ห่างออกจากโลกไปหลายปีแสง นั่นทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการส่งอีเมล์นั้นนานราวกับเป็นนิรันดร์
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยกฎของมิติเวลา ส่งผลให้ มิคาโกะ ไม่แก่ขึ้นเลย เธอยังคงเป็นเด็กสาวมัธยมต้นที่เพิ่งออกจากโลกมาได้ไม่นาน สวนทางกับเวลาบนโลกที่เดินอย่างรวดเร็ว โนโมรุ โตขึ้นเรื่อยๆ เรียนชั้นมัธยมปลายจนจบ เข้ามหาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษา จนกระทั่งกลายเป็นวัยทำงาน ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีอีเมล์ฉบับใหม่ของ มิคาโกะ เข้ามาในกล่องข้อความของโทรศัพท์เครื่องเก่าที่เขายังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เขาทำได้เพียงย้อนอ่านข้อความเก่าๆ ซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น
Makoto Shinkai เลือกที่จะเล่าเรื่องด้วยความนิ่งเงียบ ให้ผู้ชมตีความเอาเองว่าตัวละครทั้งคู่รู้สึกอย่างไร จนกระทั่งในตอนจบก็ไม่มีการบอกอย่างชัดเจนว่าสุดท้ายแล้ว โนโมรุ ยังเลือกที่จะรอต่อไปหรือไม่ เพราะเขาเองก็คงลำบากใจอย่างที่สุด ความสัมพันธ์นี้เปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่พันธนาการเขาเอาไว้ให้ไปไหนไม่ได้ ไม่สามารถใช้ชีวิต หรือมีความรักได้เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าจะให้เลิกรอทั้งๆ ที่รู้ว่า มิคาโกะ เองก็กำลังรอเพื่อจะกลับมาหาเขาในสักวัน ท่ามกลางความเวิ้งว้างของอวกาศอันแสนไกล เขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน นี่แหละคือคำถามที่ Makoto Shinkai ทิ้งไว้ให้ผู้ชมเป็นคนตอบ
“ถ้าคุณเป็นโนโมรุ จะเลือกรอ หรือทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังแล้วก้าวเดินต่อไป?”
5 Centimeters per Second (2007)
WATCH
แอนิเมชั่นอีกหนึ่งเรื่องของ ชินไค ที่ว่าด้วยการรอก็คือ 5 Centimeters per Second หรือในชื่อไทย ยามซากุระร่วงโรย ผลงานจากปี 2007 และถือว่าเป็นผลงานแจ้งเกิดให้ชื่อของ Makoto Shinkai เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็ว่าได้
5 Centimeters per Second เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์โศกนาฏกรรมแห่งความรักระหว่าง ทาคากิ และ อาคาริ ที่โชคชะตาบันดาลให้พวกเขาพบกันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม ก่อนที่ทั้งคู่จะเป็นรักแรกของกันและกัน แต่ว่าหลังจากนั้นไม่นาน อาคาริ จำเป็นต้องย้ายบ้านตามครอบครัวไปอาศัยอยู่ในเมืองที่ห่างไกลออกไปหลายชั่วโมง โดยในช่วงแรก ทาคากิ ก็พยายามดิ้นรนสุดหนทางตามประสาเด็กคนหนึ่ง เพื่อไปหาคนที่ตัวเองรักให้ได้ถึงแม้จะยากลำบากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความความจริงว่าความรักครั้งนี้คงยากจะเป็นไปได้แล้ว
วันเวลาผ่านไปจนทั้งคู่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากวัยประถม สู่มัธยม กระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน ทาคากิ กับ อาคาริ ตัดขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง แต่ผู้กำกับ Makoto Shinkai เล่าเรื่องโดยทำให้เห็นว่าสำหรับ ทาคากิ นั้น อาคาริ ไม่เคยหายไปไหน เขายังคงฝังใจอยู่กับเธอเรื่อยมาแม้กาลเวลาล่วงไปนับ 10 ปี โดย ทาคากิ มักจะเขียนข้อความในโทรศัพท์มือถืออยู่เสมอ เป็นข้อความที่อยากให้ อาคาริ ได้อ่าน แม้ว่าเขาจะไม่เคยส่งมันออกไปเลยก็ตาม
ตรงกันข้ามกับ อาคาริ ที่ในตอนสุดท้าย ผู้กำกับให้เราเห็นว่าเธอสามารถก้าวเดินต่อไปเพื่อมีชีวิตใหม่ได้แล้ว โดย อาคาริ ในวัยทำงานได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ในฉากสุดท้ายของ 5 Centimeters per Second ทาคากิ บังเอิญเดินสวนกับ อาคาริ บริเวณทางรถไฟ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คิดหรือเปล่า รถไฟก็พลันวิ่งเข้ามาพอดี ทาคากิ ยืนอยู่กับที่จนกระทั่งรถไฟแล่นผ่านไป และเขาก็ได้พบว่าอีกฟากหนึ่งไม่มีหญิงสาวที่เขาคิดว่าเป็น อาคาริ ยืนอยู่แล้ว จากนั้น ทาคากิ ก็ยิ้มออกมาเศร้าๆ ก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไปเช่นกัน
ที่ต้องอธิบายฉากจบของเรื่องอย่างละเอียดแบบนี้ก็เพราะว่าถึงแม้จะไม่ได้สื่อออกมาโดยตรง แต่ก็พอเดาสิ่งที่ผู้ Makoto Shinkai ต้องการจะสื่อได้ ว่าการที่ ทาคากิ ไม่เลือกจะวิ่งไปตามหาหญิงสาวคนดังกล่าว แต่เลือกที่จะหันหลังกลับ และก้าวเดินต่อไปในเส้นทางของตัวเอง นั่นก็เพราะในที่สุด ทาคากิ ก็สามารถตัดใจจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้สำเร็จ เขาเลิกรอ เพื่อจะมีชีวิตของตัวเอง หลุดพ้นจากการพันธนาการ ยอมรับความจริงว่าความสัมพนธ์ระหว่างเขากับ อาคาริ นั้นเหมือนกับกลีบซากุระที่ปลิดปลิวหายไปตามสายลมแล้ว เขาไม่สามารถคว้ามันได้ทันใน 5 วินาทีก่อนที่มันจะร่วงหล่นถึงพื้น ถึงแม้จะใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปีก็ตาม
“ถ้าคุณเป็น ทาคากิ ในตอนสุดท้ายหลังจากที่รถไฟแล่นผ่านไปแล้ว คุณจะทำยังไง?”
The Garden of Words (2013)
นอกจากงานภาพที่ได้รับคำชื่นชมล้นหลาม ว่าเนรมิตรออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถดึงผู้ชมให้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่มีกลิ่นฝนลอยมาตามลม เคล้ากับเสียงหยดน้ำร่วงหล่นจากใบไม้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในแง่เนื้อเรื่อง The Garden of Words ผลงานอนิเมชั่นปี 2013 Makoto Shinkai ก็นำเสนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
The Garden of Words หรือในชื่อไทย ยามสายฝนโปรยปราย เล่าเรื่องราวของ ทาคาโอะ เด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายผู้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นช่างทำรองเท้า โดยในวันที่ฝนตกเขามักจะโดดเรียนมานั่งสเก็ตแบบรองเท้าในศาลากลางสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเป็นประจำ และที่นั่น ทาคาโอะ ก็ได้พบเจอกับ ยูคาริ หญิงสาววัยทำงาน ที่มักจะมานั่งในศาลาพร้อมรับประทานช็อกโกแลตคู่กับเบียร์เป็นประจำ
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็เริ่มผลิดอกออกผลมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวัน รู้ตัวอีกที ทาคาโอะ ก็ตกหลุมรักผู้หญิงที่แก่กว่าเขาถึง 12 ปีไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง ทาคาโอะ ได้รับรู้ความจริงว่า ยูคาริ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณครูในโรงเรียนของเขานั่นเอง
ด้วยเงื่อนไขความรักที่มากมาย ทั้งเรื่องอายุและสถานะทางสังคม ทาคาโอะ รู้ดีว่าความรักครั้งนี้แทบเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขาจึงเลือกเดินจากมาพร้อมน้ำตานองหน้า จนกระทั่งสุดท้าย…สายที่โปรยปรายอย่างหนัก และกระเซ็นเข้ามาในบันไดหนีไฟก็หยุดลง จากนั้นพระอาทิตย์ก็สาดแสงส่องเข้ามาแทนที่…ถ้าใครยังไม่ได้ดูคงไม่เข้าใจ แต่ฉากจบของเรื่องนี้มันงดงามจนเราอยากให้ทุกคนได้ดูด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วคำถามที่ Makoto Shinkai ได้ทิ้งไว้ก็ไม่เลือนหายไปไหน อยู่ที่ผู้ชมแต่ละคนว่าจะตอบมันออกมาเช่นไร
“แค่รักอย่างเดียวพอไหม หรือว่ายังไงเสียทุกความสัมพันธ์ก็ไม่อาจหนีกรอบของสังคมได้พ้น?”
Your Name (2016)
เชื่อว่าทุกคนคงเคยสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันแล้วรู้สึกมีความสุขหรือเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งๆ ที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฝันถึงเรื่องอะไร หรือจะเป็นคำกล่าวที่ทุกคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพรหมลิขิต ว่าในชีวิตเรานั้นมีอีกคนหนึ่งที่เปรียบเสมือนครึ่งหนึ่งที่หายไป ต้องตามหาให้เจอเพื่อมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นคือใคร และอยู่ที่ไหน
Your Name หรือในชื่อไทย หลับตาฝัน…ถึงชื่อเธอ อนิเมชั่นจากปี 2016 และนับเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Makoto Shinkai ได้นำประเด็นที่กล่าวถึงไปด้านบนมาขยายความให้ซาบซึ้งกินใจ และเข้าถึงมนุษย์ได้มากยิ่งขึ้น
Your Name ว่าด้วยเรื่องราวของ มิซึฮะ และ ทากิ นักเรียนมัธยมปลาย ที่อยู่ต่างมิติเวลา ต่างสถานที่ กันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่กลับเชื่อมโยงกันได้ผ่านการสลับร่างที่เกิดขึ้นเพราะความฝัน เพียงแต่ว่าเมื่อตื่นขึ้น ทั้งคู่นั้นไม่สามารถจดจำซึ่งกันและกันได้เลย
มิซึฮะ และ ทากิ ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายร่วมกันมากมาย จนกลายเป็นความรักความผูกพันที่ยิ่งใหญ่ราวกับพลังของเทพเจ้า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจฝืนกฎแห่งโชคชะตา ถึงแม้ว่าจะไม่อยากลืมขนาดไหน พยายามท่องจำขึ้นใจ แต่สุดท้ายความทรงจำเกี่ยวกับอีกคนก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของทั้งคู่
จากวัยมัธยมปลายสู่วัยทำงาน ทั้ง มิซึฮะ และ ทากิ นั้นลืมเลือนไปหมดแล้วว่าตัวเองกำลังตามหาอะไร เป็นใครสักคน สถานที่สักแห่ง สิ่งของสักชิ้น หรืออะไรกันแน่ พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก รู้เพียงแต่ว่าตัวเองกำลังตามหาอะไรบางอย่างเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างที่เว้าแหว่งในจิตใจ
อาจจะเป็นเรื่องราวที่ฟังดูแฟนตาซีเหนือจริง แต่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยมีความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกที่ว่ากำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าโดยปราศจากเหตุผลว่าถ้าวันหนึ่งได้พบเจอ คงมีความสุขเกินคำอธิบาย
นี่แหละคือคำถามของ Makoto Shinkai โยนใส่คนดูทุกคนว่า “เรากำลังตามหาใครสักคน ใครสักคนที่ถูกกำหนดมาแล้วหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วทุกความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความบังเอิญ ไม่มีโชคชะตา หรือพรหมลิขิตอะไรทั้งนั้น” แน่นอนว่าไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกเชื่อแบบไหนเท่านั้นเอง
Weathering with You (2019)
ผลงานลำดับล่าสุดของ Makoto Shinkai เข้าฉายในปลายปี 2019 กับคำถามแง่มุมความรักที่รุนแรงและตรงไปตรงมายิ่งกว่าเรื่องไหนๆ
Weathering with You หรือชื่อภาษาไทย ฤดูฝัน ฉันมีเธอ ว่าด้วยเรื่องราวการบังเอิญได้พบเจอกันของ โฮดากะ และ ฮินะ นักเรียนชั้นมัธยมปลายที่ไม่ธรรมดา โดย โฮดากะ นั้นได้หนีออกจากบ้านมาเผชิญชีวิตในกรุงโตเกียว ในขณะที่ ฮินะ นั้นมีความสามารถพิเศษคือการทำให้ฝนที่โปรยปรายอยู่หยุดลงได้ จนมีสมญานามว่า “สาวฟ้าใส”
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ ผลิบานขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศแสนวุ่นวายของโตเกียว และความเจ็บปวดที่วัยรุ่นทุกคนต้องเผชิญ แต่แน่นอนว่าสไตล์ของ Makoto Shinkai ตัวละครจะมีชีวิตที่สบายไม่ได้ เขาต้องทำให้เกิดอุปสรรคที่จะพรากทั้งคู่ออกจากกัน และสิ่งนั้นก็คือ การที่อยู่ๆ ประเทศญี่ปุ่นก็มีฝนตกตลอดเวลา จนเกิดเป็นภาวะภัยพิบัติ
ถึงแม้ว่า ฮินะ จะมีพลังในการเสกให้ฝนหยุดตกได้ แต่ถ้าเธอใช้พลังมากเกินไป สุดท้ายร่างกายของเธอก็จะจางหายไปกับสายฝน นี่จึงเป็นสถานการณ์ที่วัดใจเป็นอย่างมาก ว่า โฮดากะ จะยอมให้ประเทศญี่ปุ่นจมลงไปต่อหน้า เพื่อแลกกับการได้อยู่กับ ฮินะ หรือจะให้เธอหายไปตลอดกาล และทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
ในขณะที่ชมอนิเมชั่นเรื่องนี้ สารภาพตามตรงว่าผู้เขียนน้ำตาไหลอย่างไม่อาจควบคุมได้ ประเด็นที่ผู้กำกับเลือกใช้นั้นสัมผัสจิตใจเราเป็นอย่างมาก เราได้ยินมาตลอดตั้งแต่เด็กกับคำว่า “เสียสละส่วนน้อย เพื่อคนส่วนใหญ่” ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าผู้ที่พูดคงไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นส่วนน้อยที่ต้องเสียสละหรอก
การพูดประโยคดังกล่าวเป็นเรื่องง่ายมาก ตราบใดที่มองชีวิตของมนุษย์เป็นเพียงข้อมูลตัวเลข โดยที่ลืมไปว่าในตัวเลขนั้นมีจิตวิญญาณและความรู้สึกของคนๆ หนึ่งอัดแน่นอยู่
“ไม่เห็นสนใจสักนิดว่าพระอาทิตย์จะกลับมาส่องสว่างหรือเปล่า ฉันต้องการเธอมากกว่าท้องฟ้าสีครามใดๆ ทั้งนั้น” นี่คือประโยคที่ โฮดากะ พูดกับ ฮินะ พร้อมๆ กับตบหน้าคนดูอย่างจัง ว่าที่บอกว่าต้องเสียสละเพื่อนคนส่วนใหญ่นั้น แต่ถ้าคนส่วนน้อยที่ว่าคือคนที่คุณรักที่สุดล่ะ คุณจะยังยืนยันว่าต้องเสียสละอยู่หรือเปล่า
WATCH