ในช่วงยุค 2000 ปีเริ่มต้นของสหัสวรรษใหม่ ไม่มีใครโด่งดังไปกว่าหญิงสาวผมบลอนด์ที่ชื่อว่า Paris Hilton เธอคือสไตล์ไอคอนคนสำคัญที่มีอิทธิพลทั้งในด้านแฟชั่น และไลฟ์สไตล์ ต่อคนทั่วโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ Motorola รุ่นฝาพับ ที่วัยรุ่นต้องไปหามาใช้กันทั่วเมือง, เทรนด์ของกางเกงเอวต่ำ(สุดๆ)อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่น, ของใช้สีชมพูแสบตา เรื่อยไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมปาปารัซซี่ให้โด่งดังตีคู่มากับวัฒนธรรมเซเลบริตี้ ที่ครั้งหนึ่งในสมัยนั้น คิม คาร์เดเชียน ยังต้องยอมซูฮก และพยายามอย่างยิ่งยวดให้ได้ตีสนิทกับปารีส เพื่อจะได้ถูกจับภาพจากเหล่าปาปารัซซี่ตามท้องถนน เพื่อหวังว่าสักวันจะได้ดังทัดเทียมกัน (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นสมใจ) กระนั้นชีวิตที่อู้ฟู่ หรูหรา ราวกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นบาร์บี้ก็มีอันต้องสะดุดลงในปี 2004 เมื่อข่าวสุดอื้อฉาวเกี่ยวกับประเด็นของ “Sex Tape” ของเธอนั้นแพร่สะพัดออกไป

ในบทสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของเธอกับ Vanity Fair เธอได้เปิดเผยว่า คลิปหลุดดังกล่าวในปี 2004 ที่อื้อฉาวเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเธอไปตลอดชีวิต แม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วถึง 17 ปีก็ตาม เพราะการที่สื่อต่างๆ พยายามขุดคุ้ย และโหมกระพือกระแสต่างๆ เพื่อให้ขายข่าวเธอได้อยู่ตลอดเวลานั้น มันยังส่งผลต่อชีวิตเธอในระยะยาว มันสร้างปมบาดแผลทางจิตใจให้เธออย่างมาก กระทั่งที่มันได้เปลี่ยนแปลงจากความเครียดธรรมดาให้กลายเป็นโรค PTSD หรือ Post-Traumatic Stress Disorder นั่นคือโรคจิตเภทชนิดหนึ่งที่เกิดจากสภาวะจิตใจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้าย ที่เธอยังต้องเผชิญกับมันอยู่ทุกวันนี้ ทั้งนี้เธอยังได้เล่าต่อไปอีกว่า “มันกลับมาวนเวียนในหัวของฉันอยู่เสมอ เพราะการนำเสนอข่าวไม่รู้จบของสื่อ ฉันจำได้ดีว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นตอกหน้าฉันอย่างแรง และผู้คนรอบตัวฉันในตอนนั้นก็ช่างร้ายกาจกับฉันเสียเหลือเกิน ทุกครั้งที่ต้องให้สัมภาษณ์สื่อต่อหน้าครอบครัวมันช่างเป็นเรื่องที่น่าอดสู ฉันไม่อยากออกจากบ้าน และรู้สึกว่าชีวิตของฉันได้จบสิ้นลงแล้ว”
อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปารีสตัดสินใจที่จะเปิดใจมากขึ้นเกี่ยวกับอาการทางสุขภาพจิตของเธอ รวมถึงผลกระทบจากการต้องไปอยู่ที่โรงเรียนโพรโวแคนยอน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำในยูทาห์ สำหรับวัยรุ่นที่มีปัญหาโดยเฉพาะ รวมไปถึงเรื่องเบื้อหลังของการถูกสถาปนาเป็นป็อปไอคอน และชีวิตส่วนตัวที่ถูกพรากไปจากเหล่าปาปารัซซี่ ซึ่งในสารคดีเปิดโปงชีวิตของเธอในปี 2020 ที่ใช้ชื่อว่า “This Is Paris” โดยเน็ตฟลิกซ์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดในวัยเด็กรวมไปถึงวิธีที่เธอผ่านมันมาได้ และเมื่อเธอได้พูดเรื่องต่างๆ ออกไป นั่นยังเหมือนเป็นการจุดประกายให้อดีตผู้อยู่อาศัยอีกหลายคนในโรงเรียนโพรโวแคนยอน ออกมาพูดถึงประเด็นการละเมิดที่พวกเขาประสบด้วยเช่นกัน จนอาจกล่าวได้ว่าการกล้าตัดสินใจออกมาพูดต่อหน้าสาธารณชนแบบตรงๆ ครั้งนี้ของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เหมือนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจครั้งสำคัญให้คนทั่วไปที่กำลังพบเจอปัญหาแบบเดียวกันได้ออกมาพูด และเล่าไปพร้อมๆ กับเธอเพื่อสร้างความเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลง

และตอนนี้การเปลี่ยนแปลงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อเหล่าสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวสุดอื้อฉาวในปี 2004 กำลังถูกบังคับให้ตรวจสอบทางด้านจรรยาบรรณอีกครั้ง กับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปกับ ปารีส ฮิลตัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับกรณีของ บริตนีย์ สเปียร์ส และคนดังคนอื่นๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก นับเป็นอีกหนึ่งกรณีในอุตสาหกรรมบันเทิงฮอลลีวู้ดที่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งคำถามอีกครั้ง ถึงชีวิตของเหล่าศิลปิน และเซเลบริตี้ ว่าการกระทำของสื่อมวลชนกระหายข่าวนั้นถูกต้อง และยุติธรรมกับเหล่าศิลปินดาราแล้วหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป...

