FASHION

Mary-Kate และ Ashley Olsen เปิดบูติก 'The Row' แห่งแรกในกรุงปารีส!

“เราแค่พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนในปารีสอาจต้องการจากพวกเรา...เรามีความสุขมากสำหรับที่นี่” Ashley Olsen กล่าว

    เรื่อง: Mark Holgate

แปลและเรียบเรียง: รมิตา เนื่องทองนิ่ม 

 

     ยามเช้าช่วงเดือนกันยายนในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสนั้นมีอากาศดี รวมถึงแสงแดดที่แจ่มใสในย่าน rue du Mont Thabor ซึ่งเป็นถนนในเมืองที่คั่นระหว่าง rue de Rivoli ใต้ร่มเงาของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และ rue Saint-Honoré อันเรียงรายไปด้วยร้านบูติกจาก Balenciaga, Armani, Moynat และ Burberry  และอีกหนึ่งบูติกที่ 1 rue du Mont Thabor ตรงหัวมุมถนน d'Alger ก็ยิ่งเป็นจุดสนใจเมื่อ Mary-Kate และ Ashley Olsen ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์แห่งแบรนด์ 'The Row' ยืนอยู่ตรงทางเข้าประตูเพื่อรอต้อนรับโว้ก ทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดยาวสีดำที่ออกแบบเอง ประดับด้วยเครื่องประดับโบราณแวววาวแต่มอบความสุขุมไปพร้อมกัน ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ส่วนหนึ่งมาจากได้ทำความฝันอันยาวนานของพวกเธอให้เป็นจริงเสียที นั่นคือการเปิดบูติกแบรนด์ The Row แห่งแรกในปารีสหลังจากที่ใช้เวลามาอย่างยาวนาน “เราตามหามาหลายปีแล้ว แต่แล้วเราก็มองหาทุกที่ตลอดเวลา” แอชลีย์กล่าวพร้อมพาโว้กเข้าไปชมบูติกแห่งนี้ “เราอยากอยู่ที่ปารีสก่อนที่จะเปิดบูติกในลอนดอน แต่เราไม่พบอะไรเลยจากนั้นเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว เพื่อนคนหนึ่งก็เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับสถานที่นี้”

     พวกเธอนั้นชอบที่นี่ซึ่งเดิมมันเป็นร้านอาหาร และได้แอบแวะเข้ามาดูขณะที่ตัดสินใจว่าจะซื้อที่แห่งนี้หรือไม่ และร้านนี้ก็ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนน พร้อมเรียงรายไปด้วยหน้าต่างขนาดกว้างขวางจำนวนมาก “การมีหน้าต่างหลายบานเป็นเรื่องน่าทึ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายเช่นกัน” แมรี-เคตกล่าวพร้อมหัวเราะ “เพราะฉันกับแอชลีย์ไม่ชอบเอาอะไรมาปิดหน้าต่างของเรา” ทว่าการตกแต่งร้านพวกเธอนำมู่ลี่ซึ่งขดด้วยริบบิ้น ออกแบบโดย Lilou Marquand ผู้ที่มีผลงานที่พวกเธอคลั่งไคล้เพราะเธอเคยร่วมงานกับ Coco Chanel มาก่อน อย่างไรก็ตามครอบครัว Olsens ตระหนักดีว่าร้านในปารีสของพวกเธอเป็นส่วนหนึ่งของย่านที่มีชีวิตชีวา เพราะฉะนั้นเมื่อมู่ลี่เปิดออก หน้าต่างจะช่วยให้คนที่เดินผ่านไปมาสามารถมองเข้าไปข้างในและดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในได้ในระหว่างวัน ในขณะที่แสงไฟจะส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอบอุ่นในยามค่ำคืน

 

 

     “จะต้องเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับย่านนี้ และเป็นความรู้สึกที่ดีของร้านค้าในท้องถิ่น” แอชลีย์กล่าว ในทำนองเดียวกันพวกเธอก็มุ่งเน้นที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น ที่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ชื่นชอบการซื้อและสวมเสื้อผ้าหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงการดูแลและเอาใจใส่ของพวกเรา “เราต้องการให้ประสบการณ์นี้มีเอกลักษณ์และพิเศษ” เธอกล่าวเสริม “ประสบการณ์ของพวกเขามีความสำคัญต่อเราพอๆ กับสิ่งอื่นๆ ที่เราทำ”

     หากจะกล่าวถึงโลเคชั่นนี้ในแบบฉบับของทั้งคู่ นั้นถือเป็นการระลึกถึงวิธีที่สองพี่น้องโอลเซ่นได้นำทาง The Row ไปสู่จุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างชำนาญและมีสติในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ยังอธิบายว่าแบรนด์ว่าได้เงินทุนครั้งล่าสุดอันมีมูลค่ามากถึงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ได้อย่างไร โดยเน้นย้ำถึงพลังอันมหัศจรรย์และอิทธิพลของแบรนด์ The Row ในการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง  แมรี่-เคตและแอชลีย์สามารถเข้าถึงสิ่งของและสถานที่ไปพร้อมๆ กันไม่ว่าจะเป็นในกรุงปารีสหรือในโลกแฟชั่นที่ใหญ่กว่า 

     และสิ่งที่โดดเด่นตั้งแต่ที่โว้กเริ่มทัวร์คือสถานที่นี้ให้ความรู้สึกสบายและมอบความเป็นกันเอง เช่นเดียวกับสถานที่สบายๆ ที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ พรม และวัตถุต่างๆ ที่มีคุณภาพระดับพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 และอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังมีความเป็นส่วนตัวแม้จะดูหรูหราแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกเกร็งแม้แต่น้อย

 

 

     โว้กได้ถามทั้งคู่ว่าพวกเธอสามารถจัดการบูติกของแบรนด์ในสาขาอื่นๆ ได้อย่างไร (ตอนนี้พวกเธออยู่ในลอสแอนเจลิส, แฮมป์ตันส์, นิวยอร์ก และลอนดอน) พวกเธอกล่าวว่าหากต้องให้ความสำคัญแก่บูติกในปารีสที่จะเปิดตัวในวันที่ 24 กันยายน พวกเราจะต้องเชื่อมโยงกับส่วนที่เหลืออย่างชัดเจน “คุณรู้สึกเหมือนเป็นร้าน The Row หรือเปล่า?” ถามแมรี่-เคตพร้อมหัวเราะ “เพราะเราเพิ่งย้ายเข้ามา” พวกเธอยังต้องเผชิญกับการเรียนภาษาฝรั่งเศสแบบเร่งด่วนซึ่งถือเป็นราคาเล็กน้อยที่พวกเธอก็ยอมจ่าย นอกจากนี้กว่าจะไปถึงร้านในปารีสได้นั้นต้องใช้เวลาหลายเดือนในการทำงานอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอุตสาหะในการวางแผนอย่างดีแม้จะมีการแพลนใหม่ โละออก แพลนใหม่ โละออกเป็นเช่นนี้วนไปเรื่อยๆ ก็ตาม โดยแฝดสาวคู่นี้จะมาที่ปารีสประมาณทุกๆ สามสัปดาห์เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ยังสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งพวกเธอและทีมที่ปรึกษาด้านการออกแบบภายในองค์กรอีกด้วย เพราะนี่เป็นบูติกแรกที่ออกแบบในลักษณะนี้ โดยก่อนหน้านี้ครอบครัวโอลเซนส์ตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจาก Jacques Grange มัณฑนากรตกแต่งภายในระดับตำนานเพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ของพวกเธอ “วิธีที่ดีที่สุดในการอธิบายกระบวนการทั้งหมด” แอชลีย์กล่าว “คือชุดขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราทำกับคนจำนวนหนึ่งที่ยินดีจะลองไปกับเรา”

 



WATCH




 

     แน่นอนว่าในอดีตร้านแห่งนี้เคยเป็นร้านอาหาร พื้นที่นี้เคยเป็นห้องรับประทานอาหารขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันโดยมีห้องครัวปิดผนังอยู่ตรงกลาง สิ่งที่เปิดเผยอย่างช้าๆ ผ่านการปรับปรุงใหม่คือขอบเขตที่แท้จริงของอาคาร “ตอนแรกเราไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะเป็นพื้นที่เปิดโล่งขนาดนี้” แอชลีย์กล่าว “ทุกอย่างปิดตัวลง แต่เราเริ่มมองเห็นโอกาสในความเป็นไปได้มากขึ้น” สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคุณสมบัติดั้งเดิมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเมื่อมองแวบแรกไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็นของคู่กัน แต่ตอนนี้กลับเป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ “เราต้องการรักษาความสมบูรณ์ของพื้น เสา และผนัง” เธอกล่าวต่อ “เพื่อรักษาองค์ประกอบทั้งหมดและทำให้มันสอดคล้องกัน” นั่นจึงเห็นได้จากวิธีการผสานสิ่งที่แตกต่างกันให้เข้ากันอย่างกลมกลืน อาทิ การตกแต่งข้างซุ้มประตูหินอันเก่าแก่แต่ค่อนข้างเรียบง่ายให้ทอดยาวออกไปทางด้านหลังของร้าน ข้างผนังด้านหลังกระจกสีซึ่งก่อนการปรับปรุงใหม่นั้นถูกปิดตายไว้ รวมถึงเสาไม้อันเก่าแก่ที่ผุกร่อนแต่น่าทึ่ง ซึ่งสูงจากพื้นถึงเพดานให้ความรู้สึกราวกับว่ามาจากเรือใบสไตล์วิกตอเรียน (ในมุมหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นเป็นส่วนเพิ่มเติมที่ค่อนข้างใหม่: แท่นไม้ถูกเรียงเป็นแนวโดยนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ Marcel Coard)

 

 

     ทั้งนี้บูติก The Row นั้นแตกต่างจากร้านบูติกหลายแห่งที่ต้องการสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการยกระดับความหรูหราด้วยเหล่าไอเท็มมากมาย แต่ที่นี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะบูติกนี้มุ่งเน้นไปที่การต้อนรับที่เน้นความสบายๆ และเป็นกันเองจนเกือบจะเป็นที่นั่งในบ้าน โดยมีเก้าอี้ Traineau ไม้สองตัวโดย Victor Courtray ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นในปี 1940 อันเป็นการผสมผสานระหว่างที่นั่งแบบบ้านๆ และด้านหลังเป็นเส้นเรขาคณิต ซึ่งขนาบข้างโต๊ะกาแฟ Georges Jouve สีดำที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี 1955และขณะที่คุณเดินผ่านซุ้มหินสูงที่อยู่ด้านหลัง คุณจะได้รับการต้อนรับด้วยที่นั่งที่ถูกดีไซน์ขึ้นเองอันมอบกลิ่นอายของวิญญาณแบบชาวแคลิฟอร์เนีย พร้อมด้วยโต๊ะกาแฟสมัยใหม่จากทศวรรษ 1930 ที่รังสรรค์ขึ้นโดย Michel Dufet

     จากนั้นการเดินชมร้านจะดำเนินต่อไปผ่านช่องโค้งเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกัน ผ่านเก้าอี้นวมของ Henrik Wouda สองตัวที่หุ้มด้วยกำมะหยี่สีทอง Chenille ที่นำเสนอแนวความคิดแบบวินเทจ เรื่อยไปจนพรมสีน้ำตาลและสีเบจของ Ivan da Silva Bruhns อันงดงามจากปี 1934 (พรมอื่นๆ เป็นผลงานของ Eileen Grey และ Jean Lurcat)

 

 

     เมื่อเดินมาถึงตรงนี้แมรี่-เคตเปิดประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องหนึ่ง และพวกเราสามคนก็มองเข้าไปด้านในที่ประกอบด้วยเก้าอี้ทรงลูกบาศก์เคลือบงาช้างโดย Koloman Moser และ Wiener Werkstatte ที่มีอายุย้อนไปถึงปี 1900 และโคมไฟข้าวสาลีวีทชีฟสีขาวจากปี 1940 โดย Vadim Androusov ข้างๆ เอสเปรสโซบาร์ซึ่งเป็นเครื่องชงกาแฟสไตล์ยุค 50 ที่ประดับด้วยแก้วน้ำเซรามิกขนาดเล็กก่อนจะดีไซน์มาเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกห้องหนึ่ง ซึ่งในการเข้าไปนั้นต้องเลื่อนประตูเหล็กที่หล่อขึ้นให้มีช่องหน้าต่างเล็กๆ หกช่อง ส่วนอีกด้านหนึ่งของประตูนั้นปูด้วยไม้วินเทจอย่างสวยงามชวนให้นึกถึงการตกแต่งของร้านอาหารปลาฝั่งซ้ายที่หรูหราและรสชาติเป็นเอกลักษณ์อย่าง Le Duc ซึ่งการออกแบบนี้ทำให้นึกถึงเรือยอชต์สุดชิกในยุค 70s “มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของห้องครัวหรือเปล่า?” โว้กถามสองพี่น้องโอลเซ่นส์ และแมรี่-เคตก็ตอบทันทีเหมือนแทบไม่ต้องคิดว่า “นี่คือ Jean Prouvé”

 

 

     เมื่อชมบูติกแห่งนี้ทั้งหมดแล้ว โว้กและพี่น้องแฝดทั้งสองคนจึงกลับมานั่งบนโซฟาที่สั่งทำขึ้นพิเศษ และได้พูดคุยถึงการเปิดบูติก The Row ในปารีสอีกครั้ง ซึ่งนี่ถือเป็นการตัดสินใจที่แม่นยำและเฉียบขาดที่พวกเธอเลือกที่จะลงทุนในเมืองนี้ แต่พวกเธอนั้นถ่อมตัวเกินกว่าจะบอกว่าทั้งสองนั้นประสบความสำเร็จและเป็นเจ้าของบูติกแห่งนี้อย่างแท้จริง “เราไม่ได้พยายามทำให้ถูกต้องจริงๆ” แมรี-เคตกล่าว “เราแค่พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนในปารีสอาจต้องการจากพวกเรา” นอกจากนี้เธอยังกล่าวถึงเหล่าไอเท็มที่จะวางจำหน่ายในบูติกนี้อีกว่า “เราจะมีเสื้อผ้าและคอลเล็กชั่นพิเศษคละกันไป แต่เราคิดว่ามันจะเอนเอียงไปทางเสื้อผ้าลำลองมากกว่า” “เราแค่อยากเปิดที่นี่เพราะจะเกิดการเรียนรู้มากมายเมื่อได้ลงมือทำ” แอชลีย์กล่าวในขณะที่เราสามคนสรุปเรื่องต่างๆ “คุณต้องมีความคล่องตัวมากและต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน ดังนั้นการเปิดประตูทีละบานและเรียนรู้ทีละวัน…นั่นคือการบ่งบอกความเป็นตัวเรา นี่อาจไม่ใช่สถานที่ที่ชัดเจนที่สุดในปารีสจากการที่เราสำรวจถนนสายหลักเกือบทุกเส้นในเมืองแล้ว แต่เรามีความสุขมากสำหรับที่นี่”...

 

ภาพ : Courtesy of The Row
ข้อมูล : Vogue Magazine

WATCH

TAGS : TheRow