FASHION
เปิดคลังลับของ Hermès ที่น้อยคนจะได้ชม มาพร้อมความพิเศษที่ยกมาถึงประเทศไทย
|
เรื่องราวเล่าขานอันเป็นตำนานของซูเปอร์แบรนด์อย่าง Hermès คือของเก็บสะสมและเหล่าสมบัติล้ำค่าที่ยังคงถูกเก็บรักษามาจนปัจจุบัน และตอนนี้มีนิทรรศการครั้งพิเศษของแบรนด์จัดขึ้น ณ ประเทศไทยจึงเป็นโอกาสดีที่โว้กจะนำเสนอแง่มุมของเฮาส์แฟชั่นสุดยิ่งใหญ่แห่งเมืองน้ำหอม เพื่อแสดงให้เห็นว่าประวัติความยาวนานกว่า 182 ปีของแบรนด์นั้นพิเศษเพียงใด
Treasure Hunt
สธน ตันตราภรณ์ พาแง้มบานประตูสู่คลังลับของตระกูลผู้ก่อตั้ง Hermès ณ ชั้นบนของเมซงแฟลกชิปในมหานครแห่งสไตล์
ใครเลยจะรู้ว่าเหนือขึ้นไปจากชั้นวางกระเป๋าใบเนี้ยบกริบและตู้กระจกใส่ผลิตภัณฑ์มากมีในบูติกแฟลกชิปของเมซงแอร์เมสบนถนน Faubourg Saint-Honoré ยังมีถ้ำอาลีบาบาขนาดเท่าโถงนิทรรศการย่อมๆ ไว้เก็บชิ้นงานล้ำค่าในคลังของ Emile Hermès บุรุษผู้สานต่อลมหายใจของศาสตร์การตัดเย็บเครื่องเทียมม้าจากบิดา สู่อาณาจักรธุรกิจอานม้าและการค้าอันโด่งดังในนามซูเปอร์แบรนด์ชื่อดียวกับสกุลแสนขลังของเขา
สิ่งประดิษฐ์จากทั่วทุกมุมโลกตั้งโดดเด่นอยู่ในพื้นที่เฉพาะกิจ ซึ่งดีไซเนอร์หลักทุกชีวิตของแบรนด์ล้วนเคยเหยียบย่างเข้ามาสัมผัสประสบการณ์มิอาจลืมนี้ ห้องสะสมนี้ยังเคยให้การต้อนรับศิลปินจากแดนไกลที่มาร่วมงานกับแบรนด์โดยมีกำหนดเยี่ยมชมคลังสะสมเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ความประทับใจในความละเมียดละไมลงรายละเอียดของชิ้นงานนับหมื่นทำให้ศิลปินต้องเลื่อนเที่ยวบินแล้วกินนอนอยู่ในห้องนี้ต่ออีกหลายวัน
WATCH
นอกจากสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับม้าแล้ว เอมิลเลือกเก็บข้าวของของสตรีด้วย ซึ่งภายหลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เมซงเข้าใจหัวอกหญิงสาวอย่างถ่องแท้ จุดเริ่มต้นของก้าวน้อยๆ นี้เกิดขึ้นเพียงเพราะเขา “อยากจะรู้ว่าสิ่งใดได้รับการเสกสร้าง...มาก่อนตัวเอง” จนนำมาซึ่งการสะสมอย่างจริงจังด้วยเชื่อว่าวันหนึ่งสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้จะช่วยพัฒนาต่อยอดแนวคิดของแอร์เมส
สตรีผู้งามสง่าสำเนียงไพเราะที่พาเราเยี่ยมชมคลังสะสมเอ่ยอย่างแผ่วเบาตั้งแต่เริ่มทัวร์ว่า “ม้าเป็นสัตว์ที่อ่อนไหว” และนอกจากอ่อนไหวแล้ว ม้าของแอร์เมสยังเป็นพาหนะช่วยพาเราก้าวข้ามเวลาจากความทรงจำ...ไปสู่อนาคตด้วย
1.Drawing: Duc attelé et groom à l’attente
ต้นกำเนิดอันยิ่งใหญ่ของโลโก้แอร์เมสปรากฏอยู่ในภาพเขียนลายเส้นดินสอที่ Alfred de Dreux รังสรรค์ขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 เอมิลซื้อภาพเก่านี้มาในปี 1923 ด้วยหลงใหลความหมายที่แฝงอยู่ ภาพม้าเทียมเกวียนไร้ผู้โดยสารนี้นอกจากจะสะท้อนการเดินทางซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์แล้ว ยังสื่อถึงการรอคอยและความพร้อมก่อนเคลื่อนตัว น้อยคนนักจะสังเกตเห็นว่าม้าบนโลโก้ของแบรนด์มี 2 ตัวยืนเคียงกันในท่าพร้อมย่อง ในขณะที่ผู้คุมกำลังยืนคอยท่า “ใครสักคน” อย่างใจจดใจจ่อ ไม่ต่างจากแบรนด์ที่พร้อมเสมอที่จะต้อนรับลูกค้าซึ่งอาจปรากฏตัวได้ทุกเมื่อเพื่อควบขี่ผจญภัยไปในที่ที่ให้ความสุขใจ
2.French General Officer’s Saddle
เหล่าทหารม้าฝรั่งเศสถือธรรมเนียมเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์มาช้านาน นายทหารผู้ครองยศระดับสูงมักได้รับเกียรติให้นั่งอานม้าสร้างสรรค์พิเศษจากแอร์เมส อานสีแดงซึ่งตัดเย็บจากวัสดุเลอค่า เช่น หนังโมร็อกโก กำมะหยี่ หนังเสือดาว จากช่วงปี 1885-1914 ชิ้นนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าสีแดงเคยรุ่งโรจน์และมีความสำคัญกับแอร์เมสมาเนิ่นนานก่อนสีส้มจะมาแทนที่ เนื่องเพราะเมซงสามารถพัฒนาสีแดงโทนพิเศษได้จากกระบวนการย้อมสีแบบที่เจ้าอื่นทำไม่ได้ จวบจนความนิยมเริ่มจืดจางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอนกลาง เมื่อกองทหารพบว่าสีนี้โดดเด่นเกินไปในสมรภูมิรบ
3.Painting: La Maison Hermès in 1880
ภาพเขียนสีน้ำมันบนกระดานไม้นี้คือภาพประวัติศาสตร์ของบูติกเก่าแก่เลขที่ 24 ของแอร์เมส ที่ต่อมาได้รับการต่อเติมขึ้นไปจนถึงขอบหลังคาของอาคารข้างเคียง ตามด้วยการสร้างสรรค์สวนสวยซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจของน้ำหอม Un Jardin sur le Toite ในคลังสะสมของแบรนด์ยังมีตรายางประทับหัวกระดาษรูปอาคารเมซงความยาวเท่าอาคารปัจจุบัน ซึ่งแท้จริงแล้วกินพื้นที่ไปไกลกว่าอาคารจริงในขณะนั้น เพราะเอมิลเชื่อว่าวันหนึ่งเมซงแอร์เมสจะครอบคลุมอาณาบริเวณเพิ่มขึ้น...และมันก็เกิดขึ้นจริง! วิสัยทัศน์หัวก้าวหน้าของแท้!
4.Man Travel Case
กล่องไม้มะฮอกกานีล้ำค่าใบนี้สร้างสรรค์ขึ้นราวปี 1804 เพื่อนายทหารชั้นสูงในกองทัพโดยเฉพาะ ภายในบรรจุของจำเป็นประดามีที่จะทำให้นักเดินทางคนหนึ่งรู้สึก “เหมือนมิได้จากบ้านไปไหน” เครื่องเงินเครื่องคริสตัลคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ทั้งงดงามและผ่านการคำนวณเรื่องการใช้งานมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่เดือยเปิดไวน์ เซตเครื่องเขียน อุปกรณ์เย็บผ้า หวีสำหรับเครา กรรไกรตัดขนจมูก ขวดเกลือ-พริกไทย กระทั่งกระจกส่องศัตรู
5.Game Board
หากสังเกตดีๆ นอกเหนือจากความงามหรู แอร์เมสไม่เคยขาดจิตวิญญาณความสนุก อารมณ์ขัน และการแบ่งปันช่วงเวลาที่งดงาม กระดานแกะสลักลงสีน้ำจากราวปี 1830 ชื่อ Jeu des Omnibus et Dames Blanches นี้คือข้อพิสูจน์ เพราะลายเส้นบนกระดานพนันที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงและรอยยิ้มให้ผู้คนมากมายได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของลายเส้นบนผ้าพันคอไหมผืนแรกของแบรนด์ในปี 1937 หรือกว่า 100 ปีต่อมา! คราวนี้เราก็สามารถพันผูกผ้าไหมผืนสวยไปคลี่แผ่เล่นเกมได้ทุกที่
6.Postilion’s Boots
ตำแหน่งผู้คุมม้ามีภารกิจหนักหน่วง เขาต้องรู้จักเส้นทางทุกสายเพื่อนำขบวนเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งผ่านภูมิอากาศร้อนฉ่าถึงหนาวเหน็บ หลายครั้งที่ต้องคอยคุมม้ามากถึง 8 ตัว ด้วยเหตุนี้ รองเท้าบู๊ตหนาหนักจากศตวรรษที่ 19 จึงประกอบติดไปกับเครื่องเทียมม้าเพื่อป้องกันขาของเขาจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งเมื่อม้าตัวข้างๆ วิ่งเทียบเข้ามาใกล้ ชิ้นหนังแข็งแรงซึ่งกอปรขึ้นด้วยเทคนิคพิเศษอย่างการซ้อนหนังทำนองเดียวกับแซนด์วิช (ก่อนปักประทับลายมงกุฎและดอกลิลลี่) นี้ยังพบได้ในขั้นตอนการสร้างสรรค์ชิ้นงานในปัจจุบัน
7.Sherbet Mould
นี่ไม่ใช่รูปปั้นม้าพยศธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นเครื่องทำไอศกรีมดีบุกผสมตะกั่วสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเอมิลเก็บรักษาไว้อย่างภาคภูมิใจ! ลำพังไอติมก็ผลิตยากแล้วในยุคนั้น แต่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ขอก้าวไปอีกขั้นโดยให้จัดของหวานที่มีรูปทรงสง่างามมาถวาย ซึ่งคงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากอาชาตัวโปรดนาม “สุลต่าน”
8.Dog Collar
ใครจะไปคิดว่าแบรนด์หรูอายุ 182 ปีอย่างแอร์เมสเคยขายปลอกคอสุนัข (ช่วงปลายทศวรรษ 1920) แถมยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิต “ปลอกคอสุนัขที่ชิกที่สุดในปารีส!” ผลงานออกแบบนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของกำไลข้อมือที่สร้างชื่อ รวมถึงเข็มขัดตอกหมุด และสายนาฬิกายอดฮิตของแบรนด์ที่แฟนคลับใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง แบรนด์เก็บรักษาปลอกคอสุนัขหนังเส้นโตตกแต่งโลหะไว้อย่างดีในตู้กระจกบนชั้นสะสม
9.Child’s Carriage
เห็นรายละเอียดยิบย่อยระยับเช่นนี้อย่าเพิ่งสรุปว่าเป็นรถม้าของจริง เพราะนี่คือรถแพะ! เปลทารก และของเล่นระดับเอกซ์คลูซีฟของลูกท่านหลานเธอในประเทศฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งย่อส่วนลงมาแล้วใช้แพะเทียมรถแทนม้า แต่เก็บความวิจิตรไว้ครบ ตั้งแต่โคมไฟปิดทองหน้ารถถึงกันสาดบังแดด
10.Mechanical Horse
ตามธรรมชาติแล้วเด็กผู้ชายทุกคนสนใจการขี่จักรยาน อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณเรื่องกลไกและความเร็ว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าฟ้าชายในองค์จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พระองค์ทรงปั่นม้ากลไกกึ่งจักรยาน 3 ล้อจากปี 1859 คันนี้เพื่อเตรียมความพร้อมในการควบขี่อาชาจริงยามเติบใหญ่และขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา สัญลักษณ์อินทรีสีทองระหว่างขาหน้าของรูปปั้นม้าบ่งบอกฐานันดรสูงศักดิ์ระดับรัชทายาทของพระองค์
11.Trunk Bed
หีบสีแดงตกแต่งรายละเอียดสีทองใบนี้ไม่ได้มีไว้ขนสัมภาระใดๆ และเป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่เปิดฝาออกจะต้องงุนงงกับผ้าใบร้อยเชือกกับก้านเพลาโลหะภายใน ต่อเมื่อกางมันออก จึงได้รู้ว่าเป็นเตียงอเนกประสงค์สำหรับเดินทางไกล กรอบจัตุรัสใต้ฝาเปิดออกเป็นช่องเก็บวิกผมส่วนตัวและสามารถไขกุญแจล็อกปิดได้ เช่นเดียวกับฝาหีบที่ใช้เป็นกันสาดกำบังแดดฝนยามค้างอ้างแรมไกลบ้าน
Hermès Heritage Exhibition
นอกจากความพิเศษภายในแฟลกชิปกลางกรุงปารีสที่น้อยคนจะมีโอกาสได้เห็น ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีของคนไทยที่จะได้สัมผัสสมบัติล้ำค่าและมีอิทธิพลอย่างมากซึ่งเป็นรากฐานแบรนด์แอร์เมสในเวลาต่อมา นิทรรศการในชื่อ “Rouges Hermès” หรือแอร์เมสสีแดง งานนี้นำเสนอไอเท็มชิ้นโบร่ำโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี โดยเน้นไปที่เฉดสีแดงหลายเฉดซึ่งมีความสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ก่อนจะมีสีส้มเสียอีก งานนี้ไอเท็มแต่ละชิ้นจึงถูกคัดมาจากโทนสีแดงเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ไม่มีใครเหมือน วันนี้เราจึงพาไปเรียกน้ำย่อยก่อนเข้าไปดูงานนิทรรศการอันทรงคุณค่าของแอร์เมสที่มีของล้ำค่าหลายชิ้นจากทั้งคลังลับและพิพิธภัณฑ์ของแบรนด์มาจัดแสดง ณ กลางลานพาร์กพารากอนครั้งนี้
เริ่มกันที่การทำความเข้าใจในเฉดสีแดงต่างๆ ก่อนโดยนิทรรศการครั้งนี้จะพาเราย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นสีแดงของแอร์เมสซึ่งเริ่มตั้งแต่สีแดงเข้มหรือ “Crimson Red” ที่ใช้ตกแต่งร้านแอร์เมสที่ Faubourg Saint-Honoré ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสีเอกลักษณ์และส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาคือเครื่องหนังสีเข้มที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณเหล่านี้ก็ซ่อนอยู่ในไอเท็มทุกชิ้นของแอร์เมสนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อพูดถึงเครื่องหนังสีเข้มจะข้ามเรื่องกระเป๋าไปไม่ได้ กระเป๋าเดินทางใบโตพร้อมรายละเอียดตัวล็อคอันเป็นเอกลักษณ์ถูกรังสรรค์ขึ้นจากหนังจระเข้ชั้นดีฟอกเป็นสีแดงเข้ม รากฐานความวิจิตรงดงามของแอร์เมสถูกส่งต่อมาถึงกระเป๋าอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและมูลค่าราคามหาศาล สีแดงนี้จึงเปรียบราวกับอัญมณีสะท้อนความงามในแบบฉบับซูเปอร์แบรนด์จากฝรั่งเศส
กระเป๋าอีกชิ้นหนึ่งที่หาชมได้ยากคือกระเป๋าที่ชื่อว่า “Sumo” วัฒนธรรมจากทั่วโลกมีเข้ามาสอดแทรกในเครื่องหนังของแอร์เมสอยู่เสมอ ครั้งนี้มีนิยามการเรียกกระเป๋าลักษณะคล้ายพุงว่าซูโม่เปรียบได้กับลักษณะร่างกายของนักซูโม่ ซึ่งใบนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2001 และกลายเป็นไอเท็มชิ้นสำคัญที่แบรนด์เก็บรักษาไว้อย่างดี
นอกจากกระเป๋าหนังแล้วแอร์เมสเองก็มีเสื้อผ้าสีแดงอันโดดเด่นไม่แพ้กัน ผ้าซาตินขับความเปล่งปลั่งของสีทะลุออกตู้กระจกสำหรับจัดแสดง ความเนียนเสมอกันของสีประกอบกับเนื้อผ้าและเทคนิคของการตัดเย็บเสริมให้ความโดดเด่นของชุดสีแดงนี้กลายเป็นชุดเดรสตัวสำคัญที่ทางแบรนด์จะต้องเก็บรักษาไว้อย่างเช่นชุดผ้าซาตินจากปี 1995 ด้านบน ของชิ้นนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าสีแดงของแอร์เมสนั้นมีบทบาทต่อตัวตนของแบรนด์อย่างไร
นอกจากจะมีของอย่างกระเป๋าหนังและเสื้อผ้าแล้ว เครื่องหนังและอุปกรณ์ขี่ม้าถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์ หากขาดม้าไม่เป็นแอร์เมสฉันใด ขาดสีแดงไปก็ไม่ใช่แอร์เมสฉันนั้น เพราะฉะนั้นทั้ง 2 องค์ประกอบจึงถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันและกระจายความโด่งดังของแฟชั่นเฮาส์แห่งนี้ว่า “ม้าและสีแดงคือตัวตน” และไอเท็มชิ้นแปลกอย่างซองใส่หมากฝรั่งก็ไอเท็มอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถสะท้อนได้ว่าเฉดสีอันร้อนแรงกับเครื่องหนังคุณภาพเยี่ยมอยู่ในชีวิตประจำวันของแอร์เมส
สีแดงสามารถสอดแทรกเข้าไปอยู่ในทุกอณูของความเป็นอาชาแห่งฝรั่งเศส ถ้าถามว่าเพราะอะไรน่ะหรือเราตอบได้เลยว่าสิ่งของในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้าหรือแม้แต่อุปกรณ์ขี่ม้าเอกลักษณ์ของแบรนด์จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยสีแดงแล้ว นอกจากนี้เครื่องใช้ในบ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถอยู่ในโทนสีแดงได้อย่างลงตัวเช่นกัน ไม่แปลกถ้าจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของแอร์เมสสามารถเป็นสีแดงและสะท้อนคุณค่าความงามของแบรนด์ออกมาได้อย่างชัดเจน หากใครอยากชมความสำคัญรากฐานแบรนด์แอร์เมสที่ผูกโยงกับสีแดงมานานนับศตวรรษสามารถชมได้ที่ “Hermès Heritage Exhibition” ณ ลานพาร์กพารากอนตั้งแต่วันนี้ – 13 ตุลาคมนี้ แต่ถ้าใครอยากชมภาพภายในบางส่วนวันนี้โว้กรวบรวมมาให้ชมแล้วด้านล่าง
Treasure Hunt
เรื่อง: สธน ตันตราภรณ์
ภาพ: Courtesy of the brand, Studio Sebert, Thierry Jacob และ Guy Lucas de Peslouan
Hermès Heritage Exhibition
เรื่อง: นาทนาม ไวยหงษ์
ภาพ: Courtesy of brand
WATCH