FASHION
แบรนด์ Gucci เอาจริง...ปักหมุดพร้อมเป็นแบรนด์แฟชั่นรักษ์โลกแบบเต็มขั้น!นี่คือก้าวสำคัญของแบรนด์ Gucci ที่แสดงให้เห็นว่า แบรนด์แฟชั่นระดับตำนานก็สามารถรักษ์โลกได้เช่นกัน! |
หลังจากที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญฝากไว้บนหน้าประวัติศาสตร์โลกแฟชั่น ด้วยการทำงานคอแลบอเรชั่นกับแบรนด์ Balenciaga ในโปรเจกต์ “The Hacker Project” ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ Gucci ไปได้ไม่นาน หรือจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์โฮมแวร์คอลเล็กชั่นใหม่ที่ได้รับการพูดถึงอย่างท่วมท้น ที่ไม่ว่าแบรนด์กุชชี่จะขยับตัวไปทางไหน โลกใบนี้ก็ดูเหมือนจะขยับตามไปด้วยเสียทุกครั้ง จนทำให้แฟชั่นเฮาส์สัญชาติอิตาเลียนที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน กลายเป็นที่จับจ้องของเหล่าสายแฟ(ชั่น) ทั้งในอุตสาหกรรมแฟชั่น และคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มวัยรุ่น Gen-Z ที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจต่อคุณค่าทางศีลธรรมของแบรนด์มากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าแค่ความสวยงามภายนอกที่ตาเห็น ซึ่งก็ตรงกันกับที่ Macro Bizzaarri ผู้ควบตำแหน่งซีอีโอ และประธานของกุชชี่ ได้กล่าวเอาไว้กับโว้กอเมริกาผ่านวิดีโอคอลสัมภาษณ์ครั้งล่าสุด ถึงประเด็นความมุ่งมั่นของบริษัทในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมว่า “แบรนด์แฟชั่นควรเป็นแบบอย่างที่ดี และเราก็ได้ใช้แพลตฟอร์ม และเสียงของเรา (ในฐานะของแบรนด์กุชชี่ทั่วโลก) เพื่อสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นของสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศให้กับสังคม เฉกเช่นเดียวกันกับที่หลายๆ อุตสาหกรรมทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนจำเป็นต้องทำ”
ในประเด็นเรื่องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น สำหรับแบรนด์กุชชี่เองก็ถือว่าทำได้ดีเสมอมา และกำลังก้าวต่อไปในทิศทางที่ถูกต้อง และชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากข้อมูลการรายงานของ Gucci Equilibrium Impact ฉบับแรกได้เปิดเผยเอาไว้ว่า “กุชชี่ได้วางแผนเพื่อบรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับประเด็น Sustainability ภายในปี 2025 ไว้แล้วเรียบร้อย เพื่อลดสิ่งที่เรียกว่า Environment Footprint หรือ ผลกระทบต่อระบบนิเวศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ให้น้อยลง 40% เมื่อเทียบกับปี 2015 โดยเบื้องต้นพบว่าปัจจุบันแบรนด์สามารถทำได้รุดหน้ากว่าเป้าหมายไปแล้วถึง 44% เมื่อเทียบกับการเติบโตของแบรนด์ อีกทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษต่างๆ ของแบรนด์กุชชี่ก็ยังมีอัตราลดลงถึง 47% เมื่อเทียบกับการเติบโต ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเป้าหมายปี 2025 ที่จะลดลงให้ได้ถึง 50% อีกด้วย"
กระนั้นกุชชี่ก็ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงเป้าหมายที่ทะเยอทะยานมากขึ้นไปกว่านั้นอีกว่า “เราไม่ได้หวังผลใด ๆ จากการบรรลุเป้าหมายก่อนหน้านี้ เพียงแต่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในแง่ของการผลิต ที่มีทั้งการใช้วัสดุใหม่ การใช้พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตของเราให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และคิดว่ามันคือเรื่องสำคัญอย่างมากที่เราจะต้องดำเนินต่อไปในทิศทางนั้น และตั้งเป้าหมายในการก้าวไปข้างหน้าที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้นเรื่อยๆ”
อย่างที่ทราบกันดี ย้อนกลับไปในปี 2018 แบรนด์กุชชี่ยังเคยได้ตั้งเป้าหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปริมาณคาร์บอนให้เหลือ 0% มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้นมาโครยังได้แนะนำ และสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ Carbon Neutral Challenge ในปี 2019 โดยเขาได้เรียกร้องให้เหล่าซีอีโอต้องยอมรับ และดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อจัดการกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมให้เหตุผลที่น่าสนใจเอาไว้ว่า “ผมไม่เชื่อเป้าหมายในปี 2050 ที่เราต่างคาดการณ์เอาไว้มากนัก เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และผมไม่ต้องการให้ภาระของการดูแลรักษาโลกต้องตกทอดไปสู่คนรุ่นหลังแบบไม่มีวันจบสิ้น ฉะนั้นบริษัทควรต้องทำในสิ่งที่เป็นไปได้ก่อน นั่นคือการเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้”
WATCH
ไม่เพียงเท่านั้น มาโครยังได้เปิดเผยถึงโครงการริเริ่มเชิงนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือครั้งล่าสุดกับเว็บไซต์ขายของวินเทจมือสองระดับลักชัวรีที่ชื่อว่า The RealReal ไปจนถึงการเปิดตัวคอลเล็กชั่นรักษ์โลกอย่าง Off The Grid ในปี 2020 ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ และสวมใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ได้รับการผลิตขึ้นจากวัสดุอินทรีย์ รีไซเคิล และชีวภาพทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นคอลเล็กชั่นที่น่าสนใจ และได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยนี้ไปแล้วจริงๆ ดังที่ Alessandro Michele ผู้อำนวยการสร้างสรรค์คนปัจจุบันของกุชชี่ ได้เคยเคลมเอาไว้กับโว้กอเมริกาแล้วก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามการลงทุนในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นกันในการช่วยเหลือโลกของเรา นั่นจึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้กุชชี่ได้ริเริ่มเปิดตัวพอร์ตโฟลิโอ “Natural Climate Solutions” ขึ้นมาในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ ฟื้นฟู และปกป้องป่าชายเลน พร้อมแผ่ขยายไปสู่โครงการเกษตรกรรมเชิงปฏิรูป ก่อนที่มาโครจะทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์ครั้งนี้เอาไว้ว่า “นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าการลงทุนให้กับความหลากหลายทางชีวภาพ และธรรมชาตินั้นจะดีสำหรับบริษัทโดยรวมแล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราทำโดยตรง เพราะเราต่างพึ่งพิงสิ่งที่มาจากธรรมชาติเสมอ” ซึ่งเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนอื่นๆ ในอุตสาหกรรมแฟชั่นจะตื่นตัวในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับกุชชี่ด้วยเช่นกัน
ข้อมูล : ฺBritish Vogue
WATCH