
FASHION
VOGUE SCOOP | แค่เปลี่ยนดีไซเนอร์ไม่พอ! วงการแฟชั่นต้องทำอะไรอีกเพื่อให้ตลาดกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งจริงอยู่ที่การเปลี่ยนตัวดีไซเนอร์เป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ต่างๆ นั้นอยู่รอดในยุคที่สภาวะตลาดลักชัวรีซบเซาเช่นนี้ ทว่าตัวแบรนด์เองก็ต้องมองอย่างรอบด้าน และพิจารณาควบคู่ไปกับการรื้อสร้างกลยุทธ์การตลาดใหม่ด้วยเช่นกัน |
ดังที่ทุกคนได้เห็นกัน ปรากฏการณ์เกมเก้าอี้ดนตรีของโลกแฟชั่นยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025 และดูเหมือนว่าจะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นคือคำตอบสุดท้ายของอุตสาหกรรมแฟชั่นยุคนี้จริงหรือ...
จริงอยู่ที่การเปลี่ยนตัวดีไซเนอร์ในโลกแฟชั่นในช่วงปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เพียงนำมาซึ่งการเปลี่ยนผู้นำของแบรนด์ต่างๆ เท่านั้น แต่การเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ของแต่ละแบรนด์นั้น ยังนับเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีเอ็นเอของงานดีไซน์ของแบรนด์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย ทว่าก็นับเป็นภารกิจสำคัญของดีไซเนอร์ที่เดินทางมารับตำแหน่งใหม่ที่จะต้องผสมผสานอัตลักษณ์ของตัวตนเข้ากับดีเอ็นเอและประวัติศาสตร์ของแบรนด์ให้ลงตัวให้ได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนเก้าอี้ดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างการเลือกใช้ตัวละครฟรอนต์โรว์ใหม่ หรือการเลือกทำงานกับแอมบาสเดอร์ที่ต่างออกไป ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู และเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ชาวไทย อีกทั้งการสร้างสรรค์แฟชั่นแคมเปญที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย รวมถึงหน้าร้านทั่วโลกที่จะต้องถูกรื้อสร้างคอนเซ็ปต์ใหม่ เมื่อผลงานของดีไซเนอร์ใหม่เดินทางมาถึง
(สามารถตามไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่ของแบรนด์ต่างๆ ได้ที่ รวมทุกข่าวลือในโลกแฟชั่น! ดีไซเนอร์คนไหนกำลังจะโดนโละและเปลี่ยนตัวออกจากกระดานแฟชั่นบ้าง)
หลายคนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงจะนึกเอะใจอยู่ไม่น้อยว่า การเปลี่ยนดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่ผู้กุมบังเหียนการตัดสินใจหลายอย่างของแบรนด์ๆ หนึ่ง ก็ดูจะตอบโจทย์และสร้างความเปลี่ยนแปลงภายในแบรนด์อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวให้ถี่ถ้วนแล้ว เกมเก้าอี้ดนตรีในโลกแฟชั่นที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนี้นั้น มาจากปัจจัยหลักคือความซบเซาของตลาดลักชัวรีที่เข้าขั้นโคม่าทั่วโลกมานานขวบปี จากการชะลอตัวในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าลักชัวรีของตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจจากภาวะสงครามในหลายประเทศและการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของประธานาธิบดีอเมริกัน และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับการวางแผนการตลาดและการขายของแต่ละแบรนด์ทั้งสิ้น ที่จำเป็นต้องหันกลับมาพิจารณาและรื้อสร้างกลยุทธ์การขายและงานด้านการตลาดโฆษณาใหม่อีกครั้ง เพราะแม้ว่าดีไซเนอร์และผลงานจะถูกรื้อสร้างใหม่ แต่หากกลยุทธ์การตลาดสนับสนุนยังคงย่ำอยู่กับที่หรือยังไม่ตอบโจทย์ยุคสมัย ผลงานที่ว่าปังก็อาจจะพังได้เช่นกัน
ทั้งนี้ยังไม่นับรวมเรื่องของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งตอนนี้ Gen Z ได้เริ่มก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภคหลักของตลาดที่ถืออำนาจการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสียงให้หลายแบรนด์ลักชัวรีต้องขยับตามๆ กันจนกลายเป็นปรากฏการณ์เก้าอี้ดนตรีโดมิโนไปตามๆ กันดังที่เห็นอยู่ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 นี้ มีการคาดการณ์ว่าตลาดลักชัวรีจะยังคงทรงตัวและยังคงซบเซา หรือจะมีรายได้เพิ่มขึ้นไปม่มาก เนื่องจากภาวะการช็อปปิ้งเพื่อแก้แค้น หรือ Revenge Shopping ที่ดำเนินมาในช่วง 3-4 ปีมานี้หลังวิกฤตการณ์โควิด-19 นั้นได้จบลงแล้ว นั่นเองจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของโลกแฟชั่นลักชัวรีที่จะต้องค้นหากลยุทธ์ใหม่มากอบกู้ตลาดลักชัวรีให้กลับขึ้นมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ไม่เพียงแค่การเปลี่ยนดีไซเนอร์ผู้กุมบังเหียนแบรนด์เท่านั้น
(สามารถตามไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรากฏการณ์เก้าอี้ดนตรีของโลกแฟชั่นได้ที่ จับตาดูคนไทย! เมื่อดีไซเนอร์แบรนด์ดังแห่ลาออก แล้วแบรนด์แอมบาสเดอร์ชาวไทยจะเป็นอย่างไรต่อ)
WATCH
WATCH