ประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย
FASHION

โว้กพาย้อนรอยประวัติศาสตร์ 'สไบ' เครื่องนุ่งห่มไทยแต่โบราณ ผ่านแฟชั่นเซ็ตร่วมสมัยสุดพิเศษ

แฟชั่นเซ็ตนี้ของโว้กประเทศไทย ได้นำเอา สไบ เครื่องนุ่งห่มบนหน้่าประวัติศาสตร์ของไทยมาตีความใหม่ ในคอนเซปต์ Present of the Past ที่สะท้อนให้เห็นคุณค่าในอดีตและความร่วมสมัยที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

ช่างภาพ: ณัฐ ประกอบสันติสุข
สไตล์ไดเร็กเตอร์: จิรัฏฐ์ ทรัพย์พิศาลกุล
นางแบบ: Gemma, Tawan, Jemma @ AKIZ, NadiakS, Taro @ Bass
แต่งหน้า: สุรปรีย์ อชิรกุล
ทําผม: ทัศน์ เลิศมโนรัตน์, นิคม น้อยคํา
ผู้ช่วยสไตลิสต์: ปารดา ทาตะวงศ์
ขอบคุณ: มูลนิธิจักรพันธุ์ โปษยกฤต, ดร.สุรัตน์ จงดา, ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี, นักรบ มูลมานัส, สมพร ธิรินทร์
เรื่อง: ดร.อนุชา ทีรคานนท์

-------------------------------------------------------------

     วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวไทยในสมัยโบราณทั้งหญิงและชายก่อนที่จะเปิดรับอิทธิพลตะวันตกมักประกอบด้วยผ้าสองผืน ผืนหนึ่งใช้ “นุ่ง” หรือปกปิดร่างกายส่วนล่าง อีกผืนหนึ่งใช้ “ห่ม” หรือปกปิดร่างกายส่วนบน จนเรียกกันติดปากว่า “เครื่องนุ่งห่ม”

     การนุ่งห่มอาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปบ้าง เช่น นุ่งเป็นถุง นุ่งจีบหน้า นุ่งลอยชาย หรือนุ่งรวบชายม้วนสอดระหว่างขาแล้วเหน็บด้านหลังที่เรียกว่าโจงกระเบน ส่วนการห่มก็มีตั้งแต่ห่มไหล่สองข้างทิ้งชายด้านหลัง ห่มคลุมไหล่ทิ้งชายด้านหน้า ซึ่งใช้ได้ทั้งหญิงและชาย ส่วนรูปแบบเฉพาะของสตรีก็มีการใช้ผ้าผืนยาวคาดพันอกเหน็บเป็นผ้าแถบ คาดผ้าอ้อมหลังนำมาไข้วด้านหน้าให้กระชับอกแล้วผูกไว้ที่คอด้านหลังเป็นตะเบงมาน หรือคาดผ้าพันอกแล้วตวัดชายขึ้นพาดไหล่ข้างหนึ่ง จนถึงการห่มเฉียงจากไหล่ข้างหนึ่งโดยทิ้งชายผ้ามาด้านหน้า แล้วอ้อมเอวตวัดชายอีกข้างหนึ่งขึ้นทับไหล่ข้างเดียวกันอันเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ผ้าสไบ

     จากหลักฐานทางโบราณคดีอันได้แก่ประติมากรรมปูนปั้น ภาพจำหลักไม้ ตลอดจนจิตรกรรมที่วาดบนฝาผนังศาสนสถาน หรือภาพวาดในเอกสารสมุดไทยต่างๆ ซึ่งแสดงวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี และผู้คนที่กำลังประกอบกิจกรรมในอิริยาบถต่างๆ ทำให้เราเห็นภาพลักษณะการแต่งกายตามความนิยมในแต่ละยุคสมัยที่มีรายละเอียดต่างกัน แต่อยู่บนพื้นฐานของเครื่องนุ่งและเครื่องห่มตลอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เช่น ภาพประติมากรรมปูนปั้นกลุ่มนักดนตรีสตรีจากแหล่งโบราณคดีบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ในวัฒนธรรมทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือกว่าพันปีมาแล้ว ที่แสดงให้เห็นการนุ่งผ้าเป็นถุงยาวสำหรับปกปิดร่างกายส่วนล่าง และมีการใช้ผ้าหน้าแคบที่มีความยาวพอที่จะห่มเฉียงจากไหล่ข้างหนึ่งมาอ้อมที่ส่วนเอวแล้วตวัดกลับไปพาดไหล่ แบบเดียวกับที่เราเรียกว่าห่ม “สไบ” เหมือนในปัจจุบัน

     ในสมัยอยุธยาร่องรอยความสืบเนื่องของวัฒนธรรมการนุ่งห่มด้วยผ้าสไบยังคงปรากฏในภาพจิตรกรรมสมุดภาพไตรภูมิ ภาพวาดลายเส้นชาวอยุธยาประกอบจดหมายเหตุของลาลูแบร์ และปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในวรรณกรรมต่างๆ เช่น ในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน อันเป็นวรรณกรรมแบบมุขปาฐะที่สืบทอดมาแต่ครั้งกรุงเก่า ต่อมามีการจดบันทึกแต่งเติมขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมัยรัตนโกสินทร์ แต่ยังคงสะท้อนภาพขนบธรรมเนียมและวิถีปฏิบัติในเรื่องต่างๆ แบบอยุธยาตอนปลายอยู่ ในตอนต้นเรื่องของวรรณกรรม ขุนช้างขุนแผน มีการกล่าวถึงการแต่งกายของนางพิมพิลาไลยในวันที่ไปฟังเทศน์มหาชาติว่า

จึงเอาขมิ้นมารินทา          ลูบทั่วกายาขมีขมัน

ทาแป้งแต่งไรใส่น้ำมัน                 ผัดหน้าเฉิดฉันดังนวลแตง

เอาซี่สีฟันเป็นมันขลับ                  กระจกส่องเงาวับดูจับแสง

นุ่งยกลายกระหนกพื้นแดง                 ก้านแย่งทองระยับจับตาพราย

ชั้นในห่มสไบชมพูนิ่ม                   สีทับทิมทับนอกดูเฉิดฉาย

ริ้วทองกรองดอกพรรณราย     ชายเห็นเป็นที่เจริญใจ

     จับใจความได้ว่า นางพิมประทินผิวด้วยขมิ้นให้ผุดผ่อง ผัดหน้าทาแป้ง แต่งผมให้อยู่ทรงด้วยน้ำมัน เอาไม้สีฟันให้ขึ้นมัน จากนั้นจึงนุ่งผ้าที่มีลายกระหนกเขียนทองบนพื้นสีแดง ห่มผ้าสไบเป็นแพรเนื้อนิ่มสีชมพู แล้วทับด้วยผ้าสีทับทิมริ้วทองแซมด้วยลายดอกเล็กๆ ดูงดงาม ทำให้เราเห็นภาพการแต่งกายของสตรีลูกผู้ดีมีฐานะในสมัยอยุธยาได้อย่างชัดเจน ซึ่งประกอบไปด้วผ้านุ่งและผ้าห่ม ซึ่งก็คือผ้าสไบ ในกรณีของนางพิมนี้มีการห่มสไบถึงสองชั้นเพื่อเพิ่มความหรูหราเรียบร้อยและแสดงฐานะทางสังคม สะท้อนความรุ่มรวยในการใช้ผ้า ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าสตรีอยุธยานั้นไม่ว่าจะอยู่ในสถานะทางสังคมแบบใดก็นุ่งห่มไม่ต่างกัน จะต่างกันก็เพียงเนื้อผ้าหรือคุณภาพของผ้าที่นำมาใช้ หากเป็นชนชั้นสูงก็อาจใช้ผ้าคุณภาพดีที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่า หรือมีการประดับตกแต่งผืนผ้าด้วยการปัก การเขียนทอง ให้มีความวิจิตรหรูหราตามสถานะ หรืออาจเป็นผ้านำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งผ้าแพรที่นำเข้าจากเมืองจีน ผ้ายกทอง ผ้าเขียนลาย ผ้าขนสัตว์ หรือผ้าส่าน (สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า Shawl) ที่มีแหล่งผลิตและนำเข้าจากภูมิภาคต่างๆ ของอินเดีย สะท้อนถึงการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอยุธยา ส่วนชาวบ้านทั่วไปก็ใช้ผ้าที่ผลิตขึ้นเองในครัวเรือน หรือผ้าพื้นบ้านที่ผลิตขึ้นเองในอาณาจักรและหาซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด



WATCH




     นอกจากนี้บทกลอน ขุนช้างขุนแผน ข้างต้นยังสะท้อนให้เห็นรสนิยมในการคุมโทนสีในเฉดเดียวกันในการแต่งกาย เพราะนางพิมเลือกผ้านุ่งสีแดงมีลายทอง ห่มสไบแพรสีชมพูชั้นใน ทับด้วยสไบสีทับทิมลายริ้ว ซึ่งสไบชั้นนอกนี้หากเป็นผ้าที่มีความงดงามหรูหราและมีน้ำหนักกว่า ก็มักจะเรียกว่า “ผ้าสะพัก” หรือ “ผ้าทรงสะพัก” สำหรับเจ้านาย

     ส่วนความนิยมในการนุ่งผ้าและห่มสไบแพรสีตามวันซึ่งมักเป็นสีตัดกันหรือสีคู่ตรงข้ามตามจารีตของสตรีชาววังนั้น ปรากฏชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ตามบันทึกความทรงจำของหม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุลที่ว่า “...วันอาทิตย์ทรงผ้าลายสีลิ้นจี่ ทรงสะพักแพรสีโศก หรือทรงผ้าสีเขียวใบไม้ ทรงสะพักสีทับทิม วันจันทร์ทรงผ้าเหลืองอ่อน ทรงสะพักแพรสีน้ำเงิน หรือทรงสีบานเย็น ทรงผ้าสีนกพิราบน้ำเงินหม่น ทรงแพรสีจำปาแดง วันอังคารทรงผ้าสีม่วงอ่อน ทรงแพรสีโศก หรือทรงผ้าสีโศก ทรงแพรสีม่วง วันพุธทรงผ้าสีเหล็กหรือสีถั่วเขียว ทรงแพรสีจำปาอ่อนหรือแก่ก็ได้...” เป็นต้น

     วัฒนธรรมของชาวสยามในการห่มสไบกับตัวเปล่าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ราวต้นรัชกาลที่ 5 อันเป็นช่วงที่มีการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก เริ่มปรากฏหลักฐานภาพถ่ายที่สตรีชาววังสวมเสื้อแขนยาวคอตั้งแล้วห่มทับด้วยสไบแพรจีบเป็นริ้วขวาง และหากเป็นสตรีชั้นสูงแต่งกายไปในการพระราชพิธีก็จะห่มทับอีกชั้นด้วยผ้าทรงสะพัก ซึ่งมักเป็นผ้ายกไหมชั้นดี มีลวดลายทั้งลายริ้วและลายดอก บางครั้งก็มีการปักประดับด้วยวัสดุที่มีความแวววาว เช่น ดิ้น เลื่อม ลูกปัด และปีกแมลงทับที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ

     ปัจจุบันการใช้ผ้าสไบได้รับการสงวนรักษาและสืบทอดไว้ซึ่งรูปแบบการแต่งกายชุดไทยพระราชนิยมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้แก่ ชุดไทยจักรี ตัวเสื้อตัดเย็บเป็นสไบในตัว ใส่กับผ้านุ่งจีบ ชุดไทยจักรพรรดิ กำหนดให้ห่มสไบแพรจีบชั้นใน ห่มทับด้วยสไบปัก ใส่กับผ้านุ่งจีบ ชุดไทยศิวาลัย กำหนดให้ใช้ผ้าซิ่นยกทองทั้งตัว จีบหน้านาง เสื้อคอกลมขอบตั้งเล็กน้อย แขนยาว ห่มทับด้วยสไบแยกชิ้น หรือตัดเย็บติดกับตัวเสื้อ การใช้ผ้าสไบในชุดไทยพระราชนิยมนี้จึงถือเป็นการต่อยอดธรรมเนียมการนุ่งห่มที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล ให้คงอยู่กับสังคมไทยและส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่เป็นตัวกำหนดฟังก์ชันการใช้งาน สไบจึงเป็นส่วนประดับของเครื่องนุ่งห่มที่แสดงถึงความละเมียดละไมในการแต่งกาย และความเป็นพิธีการตามวาระโอกาส สะท้อนภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ไทยที่โดดเด่น

WATCH