FASHION

เธอไม่เคยพูดที่ไหน...การเปิดใจหมดเปลือกครั้งแรกของ Virginie Viard หัวเรือใหญ่ของ CHANEL คนล่าสุด

หลังจากทำงานเคียงข้าง Karl Lagerfeld เป็นเวลาหลายปี Virginie Viard กำลังจินตนาการ Chanel ขึ้นใหม่อย่างเงียบๆ แต่มั่นใจ เพื่อบทต่อไปของห้องเสื้อ

คำอธิบายภาพ: Virginie Viard ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ CHANEL และลูกชาย Robinson Fyot ที่กรุงปารีส (Photographed by Anton Corbijn, Vogue, December 2020)

 

หลังจากทำงานเคียงข้าง Karl Lagerfeld เป็นเวลาหลายปี Virginie Viard กำลังจินตนาการ Chanel ขึ้นใหม่อย่างเงียบๆ แต่มั่นใจ เพื่อบทต่อไปของห้องเสื้อ

 

วีร์ฌีนี วิยาด์ผู้เป็นพลังสร้างสรรค์อย่างเงียบๆ อยู่เบื้องหลังการจินตนาการชาเนลขึ้นใหม่เป็นผู้หญิงพูดน้อยก็จริง แต่เธอพูดตรงไม่อ้อมค้อม Caroline de Maigret นางแบบและโปรดิวเซอร์เพลงซึ่งเป็นเพื่อนกับวีร์ฌีนีบอกว่าการสนทนากับเธอนั้น “ตรงข้ามกับคำว่าพูดคุยตามมารยาท เธอไม่รู้จักการเฟคกับใครเขาหรอก”

 

วีร์ฌีนียังจำครั้งแรกที่ไปดูโชว์ของชาเนลได้ติดตา มันเป็นโชว์โอตกูตูร์หรูฟู่ฟ่าและสุดจะเว่อร์วังในแบบฉบับของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ช่วงปลายยุค 1980 พ่อของเพื่อนเป็นคนพาไปดู คอลเล็กชั่นนั้นเน้นหมวก ถุงมือ และนางแบบ มี Inès de la Fressange กับ Marpessa Hennink อยู่ในกลุ่มนางแบบที่ออกมาเฉิดฉายให้ตากล้องถ่ายภาพ เมื่อถามว่าเธอคิดอย่างไรกับคอลเล็กชั่นนั้น “ไม่ได้เรื่อง” วีร์ฌีนีในวันนี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “แก่มาก”

 

เส้นทางของวีร์ฌีนีพาเธอจากตำแหน่งผู้อำนวยการสตูดิโอที่เลอค่าสุดประมาณของคาร์ล ซึ่งเคยกล่าวถึงเธอจนเป็นที่เลื่องลือว่า “เป็นมือขวา...และมือซ้ายของผม” ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์หลังจากคาร์ลเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นสง่างามประหนึ่งผลงานเสกสรรค์จากห้องช่างเสื้อโอตกูตูร์ของชาเนลอย่างไรอย่างนั้น แต่ถ้าเหล่านักวิจารณ์วงการแฟชั่นคาดว่าครอบครัว Wertheimer เจ้าของชาเนล ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าชอบเก็บตัวไม่เป็นข่าว จะเลือกคนดังระดับขึ้นชื่อตัวหนามาแทนคาร์ล ก็ต้องบอกว่ามีเบาะแสหลายอย่างบ่งชี้ว่าทางเจ้าของจะเลือกความต่อเนื่องและยกตำแหน่งนี้ให้คนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า หนึ่งในเบาะแสที่ว่าคือการที่คาร์ลพาวีร์ฌีนีซึ่งทำงานให้เขามาตั้งแต่ปี 1987 ออกมาร่วมรับเสียงปรบมือในโชว์ 2 คอลเล็กชั่นสุดท้ายที่เขาออกมาขอบคุณผู้ชม

คำอธิบายภาพ: Gabrielle “Coco” Chanel กำลังฟิตติ้งชุดให้กับนางแบบในคอลเล็กชั่นของเธอเมื่อปี 1954

 

วีร์ฌีนีในวัย 58 ปี ยืนอยู่ใต้เงาอันไพศาลของคาร์ลและ Gabrielle “Coco” Chanel ผู้เป็นหนึ่งในพลังสร้างสรรค์ที่น่าเกรงขามที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 และ 21 อาจกล่าวได้ว่าเธอเป็นดีไซเนอร์ที่ดังน้อยที่สุดในวงการแฟชั่นที่มาอยู่กับห้องเสื้อที่ดังที่สุดของวงการ เธอเป็นคนขี้อายและเกือบจะเรียกได้ว่าชอบถล่มตัวเมื่อเทียบกับคาร์ลและโกโก้ Kristen Stewart นักแสดงสาวผู้เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนหนึ่งของชาเนลบอกว่าวีร์ฌีนีนั้น “เป็นนักทำมากกว่าพูด” และกล่าวเสริมด้วยว่าเธอ “เปิดใจรับความเป็นอื่น ตัวเธอเองก็ค่อนข้างแปลกในทางที่ดีงาม”

 

วีร์ฌีนี วิยาร์เกิดที่ลียง เมืองศูนย์กลางสิ่งทอที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของฝรั่งเศส พ่อแม่ของเธอเป็นหมอทั้งคู่ เมื่อพ่อย้ายไปรับตำแหน่งที่โรงพยาบาลประจำเมืองดีฌง ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ในภูมิภาค เธอก็ย้ายตามไป บางครั้งเด็กหญิงวีร์ฌีนีจะแต่งชุดพยาบาลหรือหมอตามพ่อไปโรงพยาบาลเพื่อให้กำลังใจคนไข้ แต่เธอไม่เคยมีความตั้งใจจะเป็นหมอเหมือนพ่อแม่ เธอบอกว่า “ฉันชอบเจอหมอ ชอบคุยกับหมอ” แต่ได้ข้อสรุปเมื่อนานมาแล้วว่า “แฟชั่นง่ายกว่า!”

 

แม่เป็นคนสอนให้เธอเย็บผ้า พออายุ 20 วีร์ฌีนีก็ตั้งแบรนด์เสื้อผ้าร่วมกับเพื่อนในชื่อ Nirvana โดยใช้ผ้าจากโรงงานของคุณตา เธอชอบใช้ผ้าเจอร์ซี่ย์เหมือนกับกาเบรียล ชาเนลสมัยสาวๆ “เพราะไม่ต้องตัดด้วยวิธีพิเศษอะไร รูปทรงของชุดเกิดจากหุ่นคนใส่” ต่อมาเธอไปเรียนทำแพตเทิร์นเพิ่มเติมที่โรงเรียนแฟชั่นในท้องถิ่น (และทำงานเป็นพนักงานขายทุกวันเสาร์ที่ร้านเครื่องประดับคอสตูมจิวเวลรี่ในเมืองนั้น แม้ว่าจะ “ไม่เคยขายอะไรได้สักชิ้น” ตามที่เธอเล่า “ฉันกลัวลูกค้า! แต่ฉันแต่งร้าน แต่งตู้โชว์หน้าร้านใหม่ไม่เคยขาด อาทิตย์หนึ่งสีแดง อีกอาทิตย์สีเขียว”)

คำอธิบายภาพ: Karl Lagerfeld ออกมาโค้งคำนับในโชว์คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2019 เคียงคู่ Virginie Viard 

 

ในที่สุดปารีสก็กวักมือเรียก รูมเมตของเธอที่ปารีสเป็นคนลียงเหมือนกันและมีเส้นสายพอสมควร วีร์ฌีนีจึงได้ฝึกงานกับ Jacqueline de Ribes สาวสังคมตัวแม่ของปารีส ซึ่งตัดสินใจนำรสนิยมและความมีหัวด้านแฟชั่นของตัวเองมาสร้างแบรนด์ “เราใช้บ้านของเธอเป็นที่ทำงาน” วีร์ฌีนีเล่าความหลัง “ใช้เตียงเป็นที่วางผ้า ส่วนเครื่องถ่ายเอกสารอยู่ในห้องน้ำ ฉันเป็นผู้ช่วยของนาย 3 คน ทั้งทีมมีกันแค่ 4”

 

หลังจากนั้นไม่นานเธอได้งานใหม่เป็นผู้ช่วยของ Dominique Borg นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งได้รับคำชมจากผลงานในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Camille Claudel ของผู้กำกับ Bruno Nuytten และ Les Misérables ของผู้กำกับ Claude Lelouch งานนี้ทำให้วีร์ฌีนีค้นพบสิ่งที่เธอรู้สึกว่าเป็นความถนัดอย่างแท้จริงของตัวเอง ขณะเดียวกันครอบครัวของเธอซึ่งย้ายไปอยู่บ้านชนบทที่แคว้นเบอร์กันดีนานแล้วก็มีเพื่อนบ้านเป็นหนึ่งในผู้ช่วยคนสนิทของเจ้าชาย Rainier แห่งโมนาโก เพื่อนบ้านคนนี้รู้จักกับคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่โมนาโกและสนิทสนมกับเจ้าหญิง Caroline พระธิดาจ้าชายเรนิเยร์ เขาถามคาร์ลอย่างห้าวหาญว่าต้องการเด็กฝึกงานไหม และด้วยชะตาลิขิต คาร์ลก็อยากได้เด็กฝึกงานอยู่พอดี วีร์ฌีนีไปพบ Gilles Dufour ผู้ช่วยประจำตัวของคาร์ลที่ถนนกัมบง และเขาก็รับเธอเข้าทำงานทันที

 

“คาร์ลถามฉันทันทีเลยว่า ‘อันนี้เธอคิดว่าไง’ ‘สีนี้เธอว่าเป็นยังไง’ “ วีร์ฌีนีเล่า “ฉันกระอักกระอ่วนมาก” ภายในไม่นานการฝึกงานก็กลายเป็นงานเต็มเวลา “คาร์ลถูกใจวีร์ฌีนีทันที” Eric Wright อีกหนึ่งเสาหลักทีมออกแบบของคาร์ลเล่า “วีร์ฌีนีมีความเยือกเย็นรอบคอบมากๆ อยู่ในตัวมาแต่ไหนแต่ไร ตัวตนและพลังของเธอแข็งแกร่งมากมาก แล้วก็ส่งอิทธิพลสูงมาก” สมัยนั้นทีมออกแบบยังเป็นทีมเล็ก นอกจากจีลกับเอริกก็มีผู้ช่วยฝ่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป นักออกแบบแอ็กเซสเซอรี่กับผู้ช่วยอีกคน แล้วก็ Victoire de Castellane หลานสาวสุดจี๊ดของจีล ดือฟูร์ ซึ่งตอนนั้นดูแลเครื่องประดับคอสตูมจิวเวลรี่อลังการของแบรนด์ ไม่นานวีร์ฌีนีก็มองเห็นโอกาสที่ดึงดูดเธอในฐานะที่เรียนออกแบบเครื่องแต่งกายมาและมีทักษะการจัดระเบียบ



WATCH




คำอธิบายภาพ: Virginie Viard ขณะสร้างสรรค์งานในคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2021 (Photographed by Benoit Peverelli)

 

“โอกาสเป็นของฉันเพราะตอนนั้นไม่มีใครคุมงานปัก” เธอเล่าว่าเธอมักถูกส่งไปทำงานกับ François Lesage ผู้น่าเกรงขามแห่งโรงปักระดับตำนาน “เขากับคาร์ลต่างคนต่างมีอัตตา” วีร์ฌีนีเล่า “โอ้โห! ฉันต้องใช้ทักษะนักการทูตเลยเชียวนะ!” วีร์ฌีนีชื่นชอบการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลไม่ธรรมดาทั้งหลายที่ทำให้ชาเนลมีงานฝีมืออยู่เป็นคลัง เช่น Monsieur Desrues ซึ่งมาที่ห้องเสื้อทุกวันตอนเที่ยงตรงพร้อมกระเป๋า 1 ใบ ข้างในอาจมีตัวอย่างงานศิลป์ที่งดงามดังอัญมณีเพียง 1 ชิ้นห่อมาในกระดาษ หรือ Madame Pouzieux ผู้ถักเปียสำหรับตกแต่งชุดสูทชาเนล ห้องทำงานมาดามอยู่เหนือคอกม้าที่บ้านไร่แถบชนบทฝรั่งเศส “เวลาฉันได้รับผลงานตัวอย่างจากเธอ” วีร์ฌีนีเล่า “จะได้กลิ่นม้าเธอติดมา...โชคดีที่ฉันเป็นคนรักม้า” (ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ชาเนลซื้อกิจการช่างฝีมือหรือ Maison d’Art 38 แห่งที่เสี่ยงต่อการล้มหายตายจาก เช่น ช่างขนนกและดอกไม้ประดิษฐ์ ช่างทำหมวกตามสั่ง ช่างทำถุงมือ ช่างอัดพลีต นักออกแบบสิ่งทอและรองเท้า อีกไม่นานทางแบรนด์จะรวมกิจการ 11 แห่งในจำนวนนี้จะเข้าด้วยกันเป็น 19M ศูนย์งานฝีมือขนาดมหึมาทางฝั่งเหนือของกรุงปารีส ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปีนี้)

 

ปี 1992 คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์หวนคืน Chloé ห้องเสื้อเจ้าของสไตล์โรแมนติกย้อนยุคชวนฝันที่เขาเป็นผู้สร้างคำจำกัดความตั้งแต่ปี 1964 จวบจนย้ายมาอยู่กับชาเนลในปี 1982 และในการกลับรังเก่าครั้งนี้เขาก็พาวีร์ฌีนีไปด้วย “ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีผู้หญิงอยู่รอบตัวเยอะๆ” คาร์ลผู้เป็นนักปฏิบัตินิยมแนะนำเอริก ไรท์ “ผู้หญิงหลายๆ บุคลิก จะได้มีอะไรป้อนให้กัน” ในปี 1993 โว้กลงบทความเรื่องวีร์ฌีนีในฐานะอิทเกิร์ลผู้เป็นแบบฉบับของจิตวิญญาณโคลเอ้ที่ฟื้นคืนกลับมาด้วยฝีมือของคาร์ล “ฉันชอบของติงต๊อง” วีร์ฌีนีเปิดใจกับ Charla Carter นักเขียนของโว้ก ซึ่งสังเกตเห็นคอลเล็กชั่นโดมหิมะ โทรศัพท์พลาสติกรูปกบสีเขียว และกระบองเพชรกระดาษอัดในห้องที่ตกแต่งแบบจับนั่นผสมนี่ และทาสีแดงสลับเหลืองเป็นแถบๆ ด้วยฝีมือ Stefan Lubrina (ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้รับผิดชอบฉากโชว์ระดับมหากาพย์ของชาเนล) ที่ชวนให้นึกถึงผลงานของศิลปินกลุ่มบลูมส์เบอรี่

 

“ฉันไม่เคยใส่ชาเนล แม้แต่ตอนทำงานที่นั่น!” วีร์ฌีนียอมรับในตอนนั้น และบอกว่าดีไซเนอร์ที่เธอเลือก คือ Sybilla, Helmut Lang, John Galliano และ Martin Margiela “ฉันชอบความขี้เล่นสนุกสนานเป็นบางครั้ง” เธอบอก “แต่อะไรที่ประดิษฐ์เยอะๆ ฉันไม่เอา จะว่าฉันชอบของที่มีการปรับแต่งแต่เรียลก็ได้” ต่อมาไม่นานสุนทรียะแบบลูกผสมของเธอ รวมถึง “ชิ้นเก่งจากตลาดนัด” อย่างกางเกงกำมะหยี่เนื้อวาวสีแดงทรงกางเกงนอน ที่เธอจับมาสวมกับเสื้อกล้ามผ้าฝ้ายสีขาวแบบผู้ชาย ก็มาปรากฏให้เห็นในคอลเล็กชั่นโบโฮของโคลเอ้ที่คาร์ลเป็นคนออกแบบ

คำอธิบายภาพ: Virginie Viard, Karl Lagerfeld และ Hudson Kroenig จากฟินาเล่โชว์คอลเล็กชั่น Métiers d’Art 2019

 

สมัยอยู่กับโคลเอ้ วีร์ฌีนีทำงานตอนกลางคืน “คาร์ลมาถึงดึกมาก” เธอเล่า “บางทีก็ 5 ทุ่ม เพราะเขามีงานที่ชาเนลทั้งวัน ไหนจะ Lagerfeld [แบรนด์ของเขา] อีก” ระหว่างทำงานออกแบบ เขาจะเปิดเพลงของวง Red Hot Chilli Peppers หรือเพลงแนวกรันจ์ที่วีร์ฌีนีโปรดปราน (“ถ้าเป็นเรื่องเพลง เธอจะไปทางร็อกแอนด์โรลมากๆ” กาโรลีน เดอ เมเกรต์บอก “และเธอจะชอบถ้าคนอื่นมีด้านนั้นเหมือนกัน คือมีอะไรพิเศษนิดๆ หน่อยๆ ในตัว”) หลังเสร็จงานเธอกับเอริก ไรท์จะไปกินมื้อค่ำตอนดึกที่ห้องอาหาร Natacha ร้านโปรดของคนวงการแฟชั่นช่วงนั้น เอริกทึ่งกับเครือข่ายเพื่อนนักแสดงของวีร์ฌีนี ที่มักจะมาร่วมวงด้วย “Vincent Lindon, Juliette Binoche, Isabelle Adjani ทุกคนเชื่อคำแนะนำเรื่องการแต่งตัวของเธอ” เอริกเล่า “นักแสดงสาวๆ หนุ่มๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันหนังฝรั่งเศสทุกวันนี้ไว้ใจวีร์ฌีนีมาก”

 

ปลายทศวรรษ 1990 คาร์ลตัดสินใจพาวีร์ฌีนีกลับมาอยู่ชาเนล “ฉันต้องการอยู่อย่างเดียวคือได้อยู่กับคาร์ล” เธอบอก “ช่วงที่ฉันกลับมาอยู่ชาเนลไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุด จำได้ว่ามีอยู่โชว์หนึ่งที่คาร์ลอยากให้มีแต่นีโอพรีนอย่างเดียว ฉันพยายามทำให้เขารักทวี้ดและอะไรต่างๆ เพราะ...นีโอพรีนที่ชาเนล กระเป๋าขึ้นรูปเนี่ยนะ มันแย่มาก เราต้องกลับไปหาโรมานซ์กัน!”

 

“คุณรู้เลยว่าวีร์ฌีนีกลับมาแล้ว” เอริกเล่า “เพราะสิ่งต่างๆ บริสุทธิ์ขึ้น ลื่นไหลขึ้น เธอรักความเป็นลักชัวรี่ในเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ ความงาม แต่เธอตอบโจทย์การใช้งานจริงได้ล้ำเลิศเสมอ” ผ่านไปไม่นานสไตล์เฟรนช์โบฮีเมี่ยนในแบบของวีร์ฌีนีก็ค่อยๆ ส่งอิทธิพลให้คาร์ลปรับสุนทรียะของชาเนลเสียใหม่ “เธอชอบให้ทุกอย่างใส่ง่าย มีความสบาย ไม่ต้องแคร์อะไร ตอนนั้นเป็นช่วงที่วีร์ฌีนีค้นพบความสดใหม่มาเติมให้ชาเนล”

คำอธิบายภาพ: ฟินาเล่แฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นครูส 2018/19 ที่มี Virginie Viard อยู่เบื้องหลัง

 

คุณสมบัติเหล่านี้กลายมาเป็นคำจำกัดความแนวทางที่เธอใช้ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ “ฉันเคยถามคาร์ลว่า ‘คุณทำเชิ้ตเดรสแบบ [ชุดกระโปรงวินเทจ] ตัวนี้ไม่ได้เหรอ” Sofia Coppola ซึ่งเคยฝึกงานที่ชาเนลในยุค 1980 เล่าให้เราฟัง “เขาบอกว่า ‘ไม่ได้หรอก เราไม่เคยมองย้อนหลัง เราเดินหน้าอย่างเดียวเสมอ’ วีร์ฌีนีจะชอบย้อนกลับไปหาสิ่งที่เคยทำแล้ว แต่เธอทำให้มันดูใหม่ขึ้นเสมอ เป็นการทบทวนในแบบของเธอ ไม่จำเป็นต้องให้เหมือนจำลองของเก่ามา”

 

โซเฟียรับหน้าที่กำกับศิลป์ให้คอลเล็กชั่น Métiers d’Art ซีซั่น Pre-fall 2020 ของวีร์ฌีนี ซึ่งมีชื่อว่า Paris-31 rue Cambon โดยจำลองซาลอนกูตูร์ของชาเนลมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Grand Palais ผนังซาลอนติดกระจกหลายเหลี่ยมหลายมุมตามแบบของเดิมซึ่งทำไว้ให้กาเบรียล ชาเนลแอบดูปฏิกิริยาของผู้ชมผ่านเงาสะท้อนในกระจกโดยไม่มีใครเห็นเธอ (ขณะนี้ Jacque Grange มัณฑนากรชื่อดังกำลังตกแต่งซาลอนแห่งเดิม ที่คาร์ลให้ Christian Liaigre แปลงโฉมเป็นสไตล์โมเดิร์นนิสต์สีดำสลับเทาเมื่อต้นทศวรรษ 2000 โดยการตกแต่งครั้งปัจจุบันเป็นการรำลึกบรรยากาศดั้งเดิมยุค 1930 ของซาลอนตามรสนิยมของวีร์ฌีนี) โซเฟียแนะให้จัดเลี้ยงอาหารค่ำและอาฟเตอร์ปาร์ตี้ที่ La Coupole ห้องอาหารระดับตำนานที่เปิดบริการตั้งแต่ทศวรรษ 1920 และค่ำคืนนั้นก็เป็นโอกาสให้ได้ยลโลกร็อกชิกของวีร์ฌีนี ผู้ให้ความบันเทิงในงานคือ  Angèle นักร้องชาวเบลเยี่ยม และ Christophe นักร้องระดับตำนานของฝรั่งเศสที่เซอร์ไพรส์ผู้ฟังด้วยการขึ้นร้องเพลงแบบสดๆ (คริสตอฟเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เมื่อไม่นานมานี้ วีร์ฌีนีจึงเปิดโชว์ Spring 2021 ด้วยเพลงของเขา)

 

เพื่อนำเข้าสู่โครงการ Paris-31 rue Cambon วีร์ฌีนีนัดโซเฟียที่ Patrimoine ชานกรุงปารีส ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคลังผลงานชาเนลในสภาวะแวดล้อมคล้ายในพิพิธภัณฑ์ โซเฟียเล่าว่า “วีร์ฌีนีโดดลงจากมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อก แล้วบอกว่า ‘เอาล่ะ ไปกันเถอะ’” โซเฟียเล่าว่าวีร์ฌีนีพาเธอเดินดูตู้ที่ตั้งเรียงกัน 2 ฝั่งทางเดินยาวเหยียดเหมือนถนนที่ไร้จุดจบ ระหว่างที่เดินไปก็ดึงสิ่งมหัศจรรย์ออกมาให้ดู เช่น ชุดนอนผ้าไหมของชาเนล สูทยุค 1960 พร้อมเสื้อผ้าไหมมัดย้อน Op Art และผ้าซับในแจ็กเกตเข้าชุดกัน “เธอปลื้มมากที่ได้พาฉันไปดูสมบัติล้ำค่าพวกนั้น” โซเฟียบอก “สนุกดีนะ คนที่รักชาเนลขนาดนั้นและอยากจะแชร์ความรักที่เธอมี” และผ้าซับในสูทยุค 1960 ตัวนั้นก็นำมาสู่หมวดมัดย้อมในคอลเล็กชั่น เวลา Odile Premel ผู้อำนวยการคลังผลงานได้อะไรมาใหม่ เธอจะนำไปให้วีร์ฌีนีและหัวหน้าโรงงานช่างฝีมือของชาเนลศึกษาเทคนิคการทำ “มันเหมือนบทเรียนส่วนตัว” วีร์ฌีนีเปิดใจ “ฉันปลื้มมาก ปลื้มมากๆ!”

คำอธิบายภาพ: ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ Gabrielle Chanel. Fashion Manifesto ที่ Palais Galliera หนึ่งในแรงบันดาลใจของวีร์ฌีนี

 

โอกาสที่จะได้สำรวจมรดกตกทอดของโกโก้เพิ่มเติมมาถึงเมื่อวีร์ฌีนีพาเราไปชมนิทรรศการ Gabrielle Chanel. Fashion Manifesto ที่ Palais Galliera พิพิธภัณฑ์แฟชั่นแห่งกรุงปารีส ซึ่งเพิ่งปรับปรุงเสร็จด้วยทุนสนับสนุนจากชาเนล วีร์ฌีนีตื่นตาตื่นใจกับชุดกระโปรงปาฏิหาริย์จากยุค 1920 ที่ชวนให้นึกถึงสุนทรียะแบบโคลเอ้ยุคคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ และกับสิ่งมหัศจรรย์อย่างเสื้อราตรีสีดีบุกปักเลื่อมจากปี 1934 สวมคู่กับกระโปรงผ้าเครปอัดพลีต และชุดกลางวันทรงชุดนอนสีงาช้างของโกโก้ ชาเนล “ทันสมัยจริงๆ” วีร์ฌีนีออกปากชม “นี่แหละที่ทำให้เธอใกล้ชิดกับเรามาก” (“กาเบรียลล์อยากเป็นอิสระ อยากกระโดดขึ้นหลังม้า ไปเต้นรำเหมือนเสียสติ แล้วค่อยไปทำงาน” คาโรลีน เดอ เมเกรต์อธิบาย “เธอเลยทำเสื้อผ้าที่ใส่สบายขึ้นมา วีร์ฌีนีก็กำลังตอบคำถามเดียวกัน คือ ตอนนี้เราต้องการอะไร”)

 

เมื่อจบการชมนิทรรศการ วีร์ฌีนีดูประทับใจจนหาคำมาอธิบายไม่ถูก “2 ชั่วชีวิตของการสร้างสรรค์” เธอบอกผม “ฉันจำภาพสเก็ตช์บางภาพและบางคอลเล็กชั่นของคาร์ลได้ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าได้แรงบันดาลใจจากรายละเอียดบางอย่างที่ได้เห็นที่นี่ มันคือชีวิตของเธอ คือชีวิตของเขา” ก่อนกลับไปดูแลการลองชุด วีร์ฌีนีแวะร้านขายของที่ระลึกเพื่อซื้อโปสการ์ดที่จะแนบไปกับดอกไม้จากร้าน Lachaume ส่งถึงหัวหน้าอาเตลิเยร์แต่ละคนหลังคอลเล็กชั่นเสร็จสมบูรณ์ ตาเธอทอประกายวิบวับเหนือหน้ากากที่สวม บอกว่าแค่คิดว่าจะได้ส่งก็เบิกบานแล้ว

 

การเลื่อนตำแหน่งทำให้ชีวิตเปลี่ยนอย่างไรบ้าง “ทำงานมากกว่าเดิม” วีร์ฌีนีตอบหน้าตาย “ทำงานตลอดเวลา เปรียบไปก็เหมือนตายายยกโรงงานทอผ้าให้ และฉันก็อยากให้มันเป็นโรงงานที่ดีที่สุด ท่านจะได้มีความสุข ฉันถามตัวเองบ่อยๆ ว่า ‘คาร์ล คุณคิดว่าไง โอเคไหม’”

คำอธิบายภาพ: Virginie Viard จากฟินาเล่โชว์เสื้อผ้าสำเร็จรูปคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2021

 

วันก่อนโชว์เสื้อผ้าสำเร็จรูปคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2021 สตูดิโอลือชื่อของชาเนลคึกคักมาก ผู้ช่วยประจำสตูดิโอมีหลายวัยแต่เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด และวีร์ฌีนีซึ่งมุ่งมั่นกับการทำงานร่วมกันอย่างมากก็อยากได้ข้อเสนอแนะจากทุกคน หลายคนในจำนวนนี้อยู่กับชาเนลมาหลายทศวรรษ ช่างภาพ Inez van Lamsweerde กับ Vinoodh Matadin มาที่สตูดิโอเพื่อให้วีร์ฌีนีดูภาพนิ่งจากหนังสั้นโปรโมตผลงาน 3 เรื่องที่ทั้งคู่ผลิตเพื่อนำออกฉายเป็นหนังตัวอย่างเรียกน้ำย่อย โดยหยิบภาพตรึงตาของกาเบรียลล์ ชาเนลในท่าวางแขนพาดพนักเก้าอี้มาเสนอใหม่ ตอนนี้ทั้งคู่นั่งบนโซฟาพนักสูงนั่งสบาย ชิดผนังด้านในสุดของสตูดิโอ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์เคยนั่งสเก็ตช์มือเป็นระวิงอยู่ที่โต๊ะทำงานตรงนี้

 

วีร์ฌีนีดูเหมือนจะไม่เคยนั่งเลย เธอกำลังยุ่งกับการพูดคุยและจัดเสื้อผ้าให้นางแบบในห้องแต่งตัวที่อยู่อีกฝั่งของสตูดิโอ จัดไปก็คิดไปพลางว่าขุดนี้ควรเพิ่มที่คาดผมพร้อมผ้าคลุมหน้าแบบยุค 1930 ดีไหม ชุดนั้นควรเพิ่มกระเป๋าเย็บบุสีชมพูเบบี้พิงก์หรือชมพูมุกดีหรือเปล่า “ไม่ใช่ทุกอย่างจะเหมาะกับทุกคน” เธออธิบาย “และถ้าพวกเธอใส่เสื้อผ้าแล้วรู้สึกไม่สบาย ฉันก็จะเปลี่ยนที่เสื้อผ้า” นางแบบของเธอมีตั้งแต่ Amanda Sanchez ซึ่งเป็นนางแบบของห้องเสื้อมา 19 ปี ไปจนถึง Louise de Chevigny ซึ่งอิแนส เดอ ลา เฟรสซองจ์ ศิษย์เก่าชาเนลเป็นผู้ค้นพบและพามาถ่ายแคตตาล็อกแบรนด์ของเธอ

คำอธิบายภาพ: Louise de Chevigny จากแคมเปญโฆษณาคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2021 ของ Chanel 

 

“ฉันชอบเธอมาก” วีร์ฌีนีพูดถึงหลุยส์ ซึ่งเธอบอกว่ามีส่วนคล้ายผู้หญิงมาดเก๋ทรงพลังที่เคยอวดโฉมบนรันเวย์ยุค 1980 และในภาพถ่ายของ Helmut Newton ยุคเดียวกัน “ครั้งนี้เราใช้นางแบบฝรั่งเศสเยอะเลย” วีร์ฌีนีบอกอย่างภูมิใจและยินดีที่การจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศทำให้ต้องคัดนางแบบจากในบ้าน “เธอรักนางแบบ” อิเนซ ฟาน ลัมสเวียร์เต บอก “เธอจะหมกมุ่นและอยากให้นางแบบสวยขึ้น รู้สึกดี ดูดี นับว่าเป็นความใจดีจริงๆ” “วิสัยทัศน์ของวีร์ฌีนีจะเกี่ยวกับชีวิตและเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตมากกว่า ไม่ได้พยายามแสดงจุดยืนเรื่องแฟชั่นหรือความเปลี่ยนแปลง” อิเนซเล่าต่อ “คนที่นี่ไม่ห่วงว่าบริษัทยังมีที่ยืนหรือเปล่า เขาไม่มานั่งทรมานตัวเอง แต่คอยสนับสนุนชีวิตของผู้หญิงที่ซื้อเสื้อผ้าไปใส่ เป็นแนวทางที่เป็นผู้หญิงมาก”

 

วีร์ฌีนีดึงเอาความคลั่งไคล้ส่วนตัวทั้งเรื่องหนังและนักแสดงมาใช้ในคอลเล็กชั่นนี้ และอิเนซก็เจาะจงไปที่ Romy Schneider ในหนังเรื่อง Boccacio ’70 ของ Visconti และ Delphine Seyrig ใน Last Year at Marienbad ของ Alain Resnais ซึ่งกาเบรียล ชาเนลเป็นคนออกแบบเครื่องแต่งกายให้ทั้ง 2 คน แต่คู่หูช่างภาพพบว่าวีร์ฌีนีซึ่งมีรสนิยมชอบหนังฝรั่งเศสตั้งแต่ยุค Nouvelle Vague มาจนถึง Les Misérables ฉบับปี 2019 (กำกับโดย Ladj Ly เพื่อนที่เธอรู้จักผ่าน Pharrell Williams) “นำแรงบันดาลใจจากวันนี้มาใช้ อย่างนักแสดงหญิงที่ออกงานพรมแดง หรือกำลังไปสนามบิน หรือไปร้านสตาร์บัคส์” อิเนซบอก “เป็นการทำเสื้อผ้าสำหรับโมเมนต์ต่างๆ ในชีวิตผู้หญิง หรือสำหรับแต่ละวันมากกว่า มันมีสัมผัสของเสรีภาพอยู่ในนั้น ซึ่งมีความเป็นชาเนลแบบไม่ต้องเกรงใจใคร”

คำอธิบายภาพ: Virginie Viard (กลาง) พร้อมด้วยเหล่ามิวส์และเพื่อนร่วมงานในโปรเจกต์ของชาเนล (จากซ้ายไปขวา) Ladj Ly (ผู้กำกับ), Suzanne Lindon (นักแสดง), Angèle (นักร้อง), Sébastien Tellier (นักดนตรี), Robinson Fyot (ลูกชายของวีร์ฌีนี), Mona Tougaard (นางแบบ), Anne Berest (นักเขียน) และ Caroline de Maigret (เฟรนด์ของแฟชั่นเฮาส์) / Photographed by Anton Corbijn, Vogue, December 2020. Produced by Kitten Productions.

 

แม้วันนี้เธอจะเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ระดับโลกมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ปริมาณงานก็เพิ่มเป็นทวีคูณ แต่วีร์ฌีนีไม่ยอมปรับเปลี่ยนชีวิตส่วนตัว ครั้งที่คาร์ลมีชีวิตอยู่เขาสรรหาสมบัติยุคอาร์ตเดโคมาห้อมล้อมรอบตัว ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นงานมัณฑนศิลป์สมัยศตวรรษที่ 18 คุณภาพระดับตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ ตามด้วยงานออกแบบร่วมสมัยใหม่ล่าสุด แต่วีร์ฌีนียังอยู่บ้านเดิมที่ซื้อตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอาเตลิเยร์เก่าของศิลปินในเขต 14 ที่ไม่เข้าสมัยแต่อย่างใด และไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมต้องอัปเกรด “ฉันรักบ้านนี้” เธอบอกเหตุผล “คาร์ลจะหัวเราะตลอดที่ฉันไม่เคยอยากเปลี่ยนอะไรเลย ถ้าซื้อรถใหม่ก็ต้องเหมือนคันเดิมทุกอย่าง”

 

ช่วงปิดเมืองวีร์ฌีนีอยู่กับคู่ชีวิต Jean-Marc Fyot นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ (ที่เธอเรียกว่า “คู่หมั้นของฉัน”) และ Robinson ลูกชายวัย 25 ที่บ้านชนบทหลังเล็กใน Drôme Provençale ตอนที่เธอซื้อบ้านหลังนี้ ฌอง-มาร์กบอกว่าเป็น “บ้านที่ถูกยึดครอง” แต่วันนี้บ้านผ่านการปรับปรุงมาบ้าง โชคดีที่ฝรั่งเศสประกาศให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้านอย่างเคร่งครัดตอนที่เธอกำลังพักระหว่างคอลเล็กชั่นพอดี เนื่องจากเปิดตัวคอลเล็กชั่น Métiers d’Art ไปแล้ว และวางแผนคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าสำเร็จรูปฤดูใบไม้ผลิ 2021 เสร็จเรียบร้อย เมื่อไปอยู่หัวเมืองเธอก็หาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจจากโรคระบาดด้วยการขี่จักรยาน ว่ายน้ำในสระที่บ้าน ทำอาหาร และทำความสะอาดบ้าน เธอบอกว่า “พอเห็นผลลัพธ์ก็หายเครียด” เมื่อกลับปารีสไปเจอผู้ร่วมขบวนการเต็มสตูดิโอพร้อมมาสก์ครบทุกคน วีร์ฌีนีก็ทุ่มให้กับงานออกแบบคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2021 ที่มีหลากแนวผสมกัน และนำมาเปิดตัวที่กร็องด์ปาเลส์อันวิจิตรงดงามด้วยงานเหล็กดัดสไตล์อาร์ตนูโว ส่วนฉากหลังจงใจให้คล้ายป้าย HOLLYWOOD ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แต่สะกดว่า CHANEL

คำอธิบายภาพ: ผลงานคอลเล็กชั่น Métiers d’Art 2021 จากชาเนล ภายใต้การสร้างสรรค์ของ Virginie Viard

 

“เป็นซีซั่นที่แตกต่างไปมาก” Etienne Russo โปรดิวเซอร์ของงานกล่าว “แต่เราจำเป็นต้องปรับตัว” ฌอง-มาร์กมาร่วมให้กำลังใจในกางเกงหนังสีดำทรงสกินนี่กับเสื้อฮู้ดดี้ สวมทับด้วยเสื้อทักซีโด้สำหรับกลางวัน ดูชิกราวกับร็อกสตาร์ วีร์ฌีนีซึ่งแต่งตัวเข้าคู่กับเขาด้วยเสื้อโค้ตชาเนลสีดำทรงเพรียวยาวถึงข้อเท้า กางเกงขาแคบ และรองเท้าบู๊ตเชลซีหนังแก้ว ดูสงบเยือกเย็นเหนือธรรมดา เธอผ่านงานอย่างนี้มาหลายสิบครั้ง และเครื่องจักรชาเนลก็รับประกันว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเหมือนจักรกลนาฬิกา แม้ทีมงานสนับสนุนจะสวมหน้ากากกันทุกคน และนางแบบก็ผ่านการตรวจโควิดก่อนมาร่วมงานก็ตาม

 

คอลเล็กชั่นเปิดตัวเหมือนภาพยนตร์ด้วยบทเพลงของคริสตอฟ ซึ่งหยิบเนื้อเพลงบางบรรทัดมาจากหนังเก่าเรื่องหนึ่ง วีร์ฌีนีคิดว่าเป็นเรื่อง Lola Montes หนังปี 1955 ของ Max Ophüls เธอปลื้มมากที่ชุดสีดำขาวแนวแจซเอจกลุ่มสุดท้ายที่เห็นผ่านจอมอนิเตอร์นั้นทำให้นึกถึงบล็อกกิ้งสุดเป๊ะในเรื่อง Marienbad วีร์ฌีนีผู้รังเกียจการมีบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัวและยังอยากจะซ่อนตัวในเงามืดต่อไปถ้าทำได้ ทำท่าห่อตัวนิดหนึ่งก่อนก้าวออกไปกลางเวทีเพื่อรับเสียงปราบมือ “เธออยากให้ผลงานเป็นจุดเด่นมากกว่าตัวเธอเอง” กาโรลีน เดอ เมเกรต์บอก “ฉันว่าเป็นอะไรที่สมัยใหม่มากเลย”

 

เพื่อนๆ ของวีร์ฌีนีมาแสดงความยินดีกับเธอหลังเวที “งดงามและหรูหรา” Sebastien Tellier ซึ่งเป็นนักดนตรีเอ่ยชม “แต่เป็นสัมผัสลูบไล้ที่แผ่วเบาและหวานสุด” ส่วนคริสเต็น สจวร์ตที่นั่งดูอยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกบอกว่า “เธอกำลังค้นพบตัวเองและเปล่งเสียงในฐานะศิลปิน ฉันได้ยินชัดเจนเลยทีเดียว”

 

เขียน: Hamish Bowles

แปลและเรียบเรียง: วิริยา สังขนิยม

ภาพ: Anton Corbijn, Courtesy of the brand

WATCH