FASHION

ล้วงลึกความรู้สึกกับ 4 หนุ่มวง Trinity พร้อมอัลบั้มแรกที่พร้อมพิสูจน์ความสำเร็จของพวกเขา

The Four Elements

TRINITY: THE 1ST MINI ALBUM THE ELEMENTS”

เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่เรารู้จักพวกเขาในฐานะศิลปินหน้าใหม่ มาวันนี้พวกเขาทั้ง 4 คนที่เหลืออยู่จากโปรเจกต์ 9x9 พร้อมแล้วกับการทำงานครั้งใหม่ในวงดนตรีที่ชื่อ Trinity

 

     “พอได้ผ่านสนามจริงมาแล้วแต่ละคนโตขึ้น มีประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจระบบการทำงานมากขึ้น ไนน์บายนายเหมือนเป็นครูให้พวกเราทุกคน ได้รู้ว่าจุดไหนควรปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วพวกเราก็พยายามกัน” เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ 1 ใน 4 สมาชิกของทรินิตี้ วงใหม่ในสังกัด 4Nologue เล่าถึงการรวมตัวครั้งใหม่ที่เรารู้สึกได้ว่าพวกเขาเต็มที่และมีความพร้อมมากๆ

     “เราสนิทกันมาตั้งแต่ไนน์บายนายแล้ว เรารู้สึกว่ามีความเชื่อมโยงโดยที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดคุยกัน แต่เรายังคงพัฒนาต่อไป ด้วยความที่เราทุกคนแตกต่างกันเลยต้องปรับตัวเข้าหากันให้ได้ เวลาขึ้นโชว์ด้วยกัน เรามีลิงก์บางอย่างที่ส่งถึงกันได้อยู่” ปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุล ยืนยันถึงความพร้อม เช่นเดียวกับเจมส์ “ปีที่ผ่านมาเราทำงานแทบทุกวัน ช่วงนี้เริ่มว่าง มีเวลาได้มานั่งตกตะกอนความคิด นึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ได้กลับมาตั้งสติ ซึ่งเป็นเรื่องดีมาก มีเวลาจูนตัวเอง ออกมาจากกรอบของตัวเอง ผมบอกไม่ได้ว่าจะดีขึ้นหรือไม่ แต่เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้และเจอสิ่งใหม่ รู้จักปล่อยวางมากขึ้น เราเตรียมงานกันอยู่ตลอด พยายามทำออกมาให้ดีที่สุด อยากปล่อยผลงานออกมาให้ทุกคนเซอร์ไพรส์กัน อยากให้ทุกคนเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นตามที่ผมสัญญาไว้”

     ในช่วงครึ่งปีที่แฟนๆ เฝ้ารอกันอยู่ว่าเมื่อไรจะได้ฟังเพลงของ 4 หนุ่ม #4NologueArtist สักทีนั้น แต่ละคนก็กำลังเตรียมความพร้อมของตัวเองกันอยู่...เจมส์เดินทางไปพักผ่อนเพื่อชาร์จแบตเตรียมไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเขาเลือกเดิน ปอร์เช่และแจ๊คกี้-จักริน กังวาลเกียรติชัยไปออกรายการดังและคว้าแชมป์กลับมา ส่วนเติร์ด-ลภัส งามเชวงก็ฝึกฝนอย่างหนัก “พวกเรามีคนกลุ่มหนึ่งที่รอเรามานานแล้วตั้งแต่ไนน์บายนายจบไป เราอยากทำอะไรให้กับคนที่รอเรา อะไรที่คุ้มค่ากับการรอคอย เราเลยมาโฟกัสที่ตัวเองว่าเราจะต้องพัฒนาตัวเอง ทำให้ดีกว่าเดิมให้สมกับที่เขารอเรา” เติร์ดบอกกับโว้ก ซึ่งไม่ต่างจากเจมส์ “ผมอยากทำให้เต็มที่ อยากทำตัวเองให้เก่งและพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เราคงไม่ทำอัลบั้มเดียวแล้วหายไปเลยแน่ๆ ตราบใดที่ยังมีคนฟังเราอยู่ เราก็จะทำออกมาให้ดีที่สุด ถ้ามีเวลาคงได้กลับมาที่งานแสดงด้วย แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากจับปลาสองมือ ทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมาต้องทำอะไรหลายอย่างมากๆ เมื่อเราเลือกมาทางนี้มากขึ้น เราก็จะทำเพลงไปให้สุด...ให้ทุกคนได้เห็น”

     ผลงานในอัลบั้มใหม่ที่ชื่อ Trinity: The 1st Mini Album “The Elements” นี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จของพวกเขาทุกชีวิต “ผมก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่มีคนในครอบครัวคอยให้การสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา เป็น Family guy ที่อยากอยู่ท่ามกลางคนที่รักเรา ผมอยากขอบคุณอย่างเดียว ขอบคุณจากใจจริงๆ ที่ติดตามผมมาตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย เป็นช่วงที่ลำบากและยาวนานมากๆ บางคนอยู่กับเรามาตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงวันนี้ เป็นกำลังใจดีๆ สำหรับผม ทำให้เรารู้ว่ามาถึงทุกวันนี้ได้เพราะมีคนให้การสนับสนุนและให้กำลังใจ มันไม่สำคัญด้วยว่าเขาเพิ่งมาเจอเราหรือเจอเรามาก่อน ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้” เติร์ดบอกความในใจ เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ที่เข้ามาร่วมวงกับน้องๆ 3 คน “จังหวะ แลนด์มาร์กในชีวิต รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างผมขึ้นมา มันขึ้นอยู่กับอะไรหลายอย่าง การที่ผมได้เล่นหนังสักเรื่องมันมีจังหวะ มีองค์ประกอบต่างๆ การได้มาทำงานเพลงก็เช่นกัน ได้มาเจอทุกคนแล้วรวมกันเป็นวง มันคือจังหวะที่ครั้งหนึ่งเราเคยสั่งสมจากการไปดูเทศกาลดนตรี คือทุกอย่างเป็นเรื่องของจังหวะหมดเลย” เจมส์เล่าถึงจังหวะใหม่ในชีวิตและตัวตนในวันนี้ “อย่างแรกเลยผมอยากขอบคุณทุกคนที่เข้าใจการตัดสินใจของผม โดยเฉพาะคนที่ตามผมมาตลอด ผมเคยให้สัญญาว่าจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ให้เขารู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกมาตามเรา การเป็นศิลปิน ต้องไม่ดูถูกคนดู/คนฟัง เราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”

เจมส์ สวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้าย สวมทับด้วยเสื้อโค้ตตัวยาว ผ้าวูลตกแต่งปกผ้าไหมซาติน ใส่กับกางเกงขายาวเข้ารูป หนัง เนกไทผ้าไหม แว่นกันแดดกรอบอะครีลิก ทั้งหมดจาก CELINE

The RHYTHM - JAMES

     “มันเป็นก้าวที่ใหญ่ของเรา...หลายคนค่อนข้างเซอร์ไพรส์ เราก็เหมือนกัน แต่นี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำ เพราะตอนเราทำไนน์บายนายเราสนุกนะ พอมีโอกาสได้ไปเทศกาลดนตรี Coachella ได้ดูโชว์ของ Blackpink เรารู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากๆ กับการที่คนเอเชียไปยืนอยู่ตรงนั้น เราอยากจะทำให้ได้แบบนั้นบ้าง ซึ่งก็ต้องฝึกฝนอีกเยอะ เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านร้องและเต้น ก็ต้องเหนื่อยหน่อย ตอนนี้ผมอายุ 22 ปีแล้ว แม่ผมเคยพูดว่า ‘เสียใจดีกว่าเสียดาย’” นี่คือถ้อยแถลงของเจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ นักแสดงและศิลปินหนุ่มที่เข้ามาอยู่ในค่ายในฐานะสมาชิกวงคนล่าสุด ซึ่งการตัดสินใจเข้ามาทำงานต่อในฐานะศิลปินนี้เป็นข่าวใหญ่เซอร์ไพรส์วงการบันเทิงและแฟนๆ อยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดีก้าวใหม่นี้ของเขายังต้องรอการพิสูจน์ต่อไปว่าจะเป็นที่ยอมรับเหมือนผลงานการแสดงหรือไม่

     “เราต้องมีสติ ถ้าเราเหลิงไปกับคำชม รู้สึกว่าเราเก่งแล้ว ดีพอแล้ว เราจะหยุดพัฒนา คนเราทุกวันนี้ไม่ชอบอะไรที่หยุดอยู่กับที่เดิมๆ ถ้าผมอยากจะติดตามใครคนหนึ่งจากผลงาน ผมก็คงไม่ชอบที่เขาเดินย่ำอยู่กับที่ ไม่มีอะไรใหม่ๆ ไม่มีอะไรดีขึ้น หรือถ้าวันนี้มีใครชมเราเพราะเราทำได้ดีจริงๆ แต่ถ้าเราไม่พัฒนาต่อ วันหนึ่งเราก็จะตกไป ต้องคิดอยู่เสมอว่าเรายังไม่เก่ง เรายังไม่ดัง” เจมส์บอกจุดยืน “ผมไม่ได้กดดันเรื่องดังหรือไม่ดัง สิ่งที่ผมกดดันคือการที่เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าเราเก่งพอหรือยัง คือลึกๆ ก็กลัวคนจะว่าว่าเราร้องไม่ดี ซึ่งถ้ามีฟีดแบ็กแบบนั้นมาเราก็จะพยายามต่อไป เราพร้อมที่จะพัฒนา”



WATCH




แจ๊คกี้ สวมสเวตเตอร์ผ้านิตใยวูลตกแต่งซิปช่วงไหล่และแขน ใส่กับกางเกงขายาวทรงตรง ผ้าวูล ทั้งสองจาก FENDI

A BOY’S LIFE - JACKIE

     “เป็นรายการที่ให้ประสบการณ์ผมหลายอย่างมากๆ อย่างทักษะการร้องเพลง การแสดงบนเวที ผมเต็มที่ทุกรอบที่ไปออกรายการ ผมว่าเรามาพร้อมโชคเพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก พอผ่านเข้ารอบที่หนึ่งก็ต้องมาเลือกเพลงทำงาน ซ้อมให้ทันวันที่ต้องไปออกรายการ ตัวผมเองไม่ได้คาดหวังว่าจะเข้ามาจนถึงรอบสุดท้าย แค่ต้องทำให้ดีที่สุด” แจ๊คกี้-จักริน กังวาลเกียรติชัยหรือหน้ากากคาวีใน The Mask วรรณคดีไทย เล่าถึงผลงานที่ส่งให้เขาโด่งดังยิ่งขึ้น ก่อนจะเปิดตัวอีกครั้งในฐานะสมาชิกวงทรินิตี้ ซึ่งเขาพร้อมแล้วสำหรับการทำงานหนัก เริ่มด้วยการกลับเข้าชั้นเรียนอีกครั้งในฐานะนักศึกษาด้านการแสดงและกำกับการแสดงชั้นปีที่ 1 ที่หลายคนคงติดตามชีวิตของเขาผ่านทางโซเชียลมีเดียกันอยู่ในช่วงนี้

     “ผมชอบเรียนนะ ผมห่างหายจากการเรียนไปพักใหญ่เลยเพราะต้องมาเตรียมตัวทำงานตรงนี้ พอได้มาเจอเพื่อน ได้กลับมาเรียน เลยรู้สึกสนุกกับตรงนี้มาก ตอนแรกคิดว่าจะกดดันกว่านี้เพราะผมไม่ได้มีเพื่อนเยอะ ชีวิตตอนนี้มีแค่ไปทำงานกับไปเรียน ซึ่งก็รู้สึกสนุกกับมันทั้งคู่” น่าจะเป็นปีที่หนักหนาสาหัสพอสมควรเมื่อนึกถึงตารางเรียนและทำงานของเขาในปีนี้ “แค่เตรียมใจมากกว่า คือเราพร้อมทุกอย่างอยู่แล้วและเราต้องผ่านทุกอย่างไปให้ได้”

     เมื่อถามถึงการเป็นนักร้องนำและน้องเล็กสุดของวง เขายืนยันกับเราว่านี่คือผลงานบันเทิงที่ผสมผสานความเป็นศิลปะ “เราเป็นศิลปินที่ทำงานศิลปะหลายๆ อย่าง เราขายงานเอ็มวี เอ็มวีเราขายงานอาร์ต เราขายแนวเพลงใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีในประเทศไทย เราขายคาแร็กเตอร์ของแต่ละคน ซึ่งผมว่ามันแปลกใหม่ ผมเป็นนักร้องนำ อยากมอบความสุขให้คนดูผ่านอาร์ตไดเร็กชั่นสวยๆ ผ่านผลงานของเรา มันต่างจากการทำงานครั้งก่อน คือมีทั้งส่วนที่ยากขึ้นและง่ายขึ้น พวกเราซิงก์กันอยู่แล้ว คาแร็กเตอร์ของแต่ละคนเราก็รู้กันอยู่แล้ว แต่คราวนี้เรามีเวลาสังเกตตัวตนของเพื่อนๆ มากขึ้น ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังอะไรนะ เพราะเราทำเต็มที่แล้ว เราพอใจแล้ว ที่เหลืออยู่ที่คนดูว่าจะชอบสิ่งที่เราทำออกไปหรือเปล่า” คงต้องรอให้แฟนๆ พิสูจน์กันเอง “ผมอาจจะเปลี่ยนไปจากโปรเจกต์ไนน์บายนาย มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดขึ้น นิ่งด้วย คิดเยอะ อาจทำให้บางคนรู้สึกแปลกไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ต้องขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างพวกเรามาตลอด และอยากให้อยู่กับเราทุกคนไปนานๆ” แจ๊คกี้ทิ้งท้ายถึงความคาดหวังของวงน้องใหม่ ที่เรามั่นใจว่าต้องสร้างกระแสยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงในอีกไม่ช้า

ปอร์เช่ สวมแจ็กเก็ตสูทป้ายหน้าผ้าไหมตกแต่งแถบผ้าไหมซาติน ใส่กับกางเกงขายาวผ้าไหมซาตินเข้าชุดทั้งสองจาก DIOR

JOY RIDE - PORSCHE

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุลเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นในฐานะหน้ากากหลวิชัย ผู้ชนะจากรายการ The Mask วรรณคดีไทย แต่ก่อนหน้านั้นเขาคือหนึ่งในสมาชิกของโปรเจกต์ไนน์บายนาย ที่เป็นจุดเปลี่ยนและสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการเพลงไทย

     “ด้วยความที่ผมมาทางนี้ตั้งแต่แรก พอได้ทำอะไรหลายอย่างก็เลยได้พัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน เราผ่านมาหลายรายการจนมาถึงวงนี้ เราตั้งใจทำทุกวันให้ดีที่สุดและต้องพัฒนาตัวเองต่อไป” นี่คือผลงานใหม่ของแร็ปเปอร์หนุ่มที่หลายคนชื่นชอบการร้อง การแร็ป การเต้นที่แปลกใหม่และทรงพลัง พิสูจน์ชัดจากการแข่งขันที่ผ่านมา “เราตั้งใจว่าจะทำแต่ละครั้งให้แตกต่าง แนวเพลงก็ไม่เหมือนกัน ทั้งวิธีการร้องหลายๆ สไตล์ของแจ๊คกี้กับวิธีการแร็ปของผม เรากดดันตัวเองเพราะอยากให้เป็นผลงานที่เราเองก็ชอบด้วย ทุกครั้งที่กลับไปดูจะได้ไม่เสียดายโอกาสนั้นๆ” เขาเล่า

     แน่นอนว่าโอกาสจากรายการนั้นมาพร้อมกับผลลัพธ์หลายอย่างที่ตัวเขาเองก็รู้สึกดีใจและภูมิใจมาก รวมถึงได้นำมาใช้ต่อยอดกับผลงานในนามทรินิตี้ด้วย “เราทราบอยู่แล้วว่าจะมีงานต่อ ได้พูดคุยทั้งเรื่องเพลง คอนเซปต์ ชื่อวง  ซึ่งพอจบจากไนน์บายนาย เราก็เข้ามาลุยตรงนี้ต่อเลย เราทุกคนเติบโตมาจากไนน์บายนาย ผมเป็นคนร้องแร็ปอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยังต้องแร็ป เราลงมือทำกันเองหลายส่วน พวกเราทุกคนมีส่วนในการเสนอชื่อวง คอนเซปต์ เอ็มวี แต่งเนื้อเพลง มันยากตรงที่เราจะต้องแข็งแรงขึ้นทุกด้าน เพราะภาพรวมเหลือแค่ 4 คน เพราะฉะนั้นจึงต้องดึงคาแร็กเตอร์ออกมาให้ได้มากที่สุด”

     โดยเฉพาะซิงเกิลเปิดตัวเพลงแรก ปอร์เช่ได้ลงมือทำในส่วนที่เขาถนัดอีกครั้ง “ผมแอบสปอยล์ในทวิตเตอร์อยู่เรื่อยๆ จนคิดว่าพอปล่อยออกไปจริงๆ พวกเขาน่าจะร้องอ๋อกัน ผมอยากให้ทุกคนลองฟัง เพราะเป็นสไตล์ที่พวกเราไม่เคยทำมาก่อน อย่างเพลง Haters Got Nothing ซึ่งเป็นเพลงไตเติลของอัลบั้มแรก เพลงนี้ผมแต่งเนื้อแร็ปเอง เนื้อหาเกี่ยวกับคนที่กำลังทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบ อย่าไปกลัวที่จะแตกต่าง ลุยกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นต่อไป”

เติร์ด สวมสเวตเตอร์แขนยาวเว้าช่วงสะโพกผ้านิตใยวูล ใส่กับกางเกงขายาว ผ้าไหมสาน ทั้งสองจาก BOTTEGA VENETA

The VOICE - THIRD

     ถ้าจะมีใครในวงที่เข้าใจความรู้สึกของแฟนๆ ดีที่สุด คนคนนั้นต้องเป็นเติร์ด-ลภัส งามเชวง “มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกเคว้งมากเลย เพราะช่วง 1 ปีกว่าที่ผมซ้อมตอนไนน์บายนาย เราได้เจอทุกคนทุกวัน วันไหนไม่ได้เจอจะรู้สึกเหงา พอเลิกจากไนน์บายนายเราไม่ได้เจอใครเลยเป็นเดือน เหงามาก แล้วเป็นคนค่อนข้างขี้เหงาด้วย ใช้ชีวิตคนเดียวไม่ค่อยได้ พอขาดคนโน้นคนนี้ไปก็รู้สึกว่ามันว่างเปล่าไปพักหนึ่ง ช่วงนั้นเลยพยายามหาอะไรทำไม่ให้รู้สึกว่างเกินไป ไปเข้าฟิตเนส เที่ยวต่างประเทศ เพื่อรีเซตตัวเอง” หนุ่มนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเล่าถึงความรู้สึกและช่วงเวลาที่ผ่านมา 6 เดือนของการเตรียมตัวเพื่อสร้างงานใหม่ “ตื่นเต้นครับ มันไม่ใช่แค่โปรเจกต์แล้ว นี่คือการได้เป็นศิลปินแบบเต็มตัวเลย”

     Main vocal คือความรับผิดชอบใหม่ของเติร์ด ซึ่งรู้กันดีในหมู่แฟนๆ ว่าเขาคือเจ้าของเสียงร้องที่น่าฟังที่สุดคนหนึ่ง “ผมรับหน้าที่เป็นนักร้องนำ คราวนี้จะได้เห็นผมร้องเพลงเยอะขึ้นเพราะจำนวนคนน้อยลง เห็นผมดึงเอาสิ่งที่ผมเรียนรู้มาใช้เยอะขึ้น เห็นมุมที่โตขึ้นและเป็นตัวเองมากขึ้น จะได้เห็นผมใช้วิธีการร้องแบบ High note เยอะขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผมถนัดแต่ยังไม่ค่อยได้ใช้ตอนไนน์บายนาย คือเราสาดยับ มีเท่าไรใส่หมด” ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่เต็มที่ เพราะประสบการณ์ในวงการบันเทิงที่มากว่าทศวรรษจะช่วยให้ผลงานใหม่น่าสนใจและน่าติดตามแน่นอน

     “ผมไม่ได้มองว่าการใช้ชีวิตส่วนตัวในวงการนี้มันยาก เพราะผมทำงานตรงนี้มาตั้งแต่ 7-8 ขวบ เราค่อนข้างจะอยู่กับการทำงานมาทั้งชีวิต เลยรู้สึกว่ามันก็คือการทำตัวเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง พยายามไม่คิดอะไรมาก พยายามเป็นตัวเองให้มากที่สุด ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะเดินทางไปพักผ่อนที่ไกลๆ และรับพลังบวกจากคนอื่นๆ ที่เราพบเจอ” และนี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวของการเดินทางไล่ตามความฝันในแบบฉบับของลภัส “ความฝันของผมคือการได้ไปยืนอยู่ในอิมแพค อารีน่า ซึ่งตอนทำไนน์บายนายเราได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ความฝันของเราเป็นจริงในระดับหนึ่งแล้ว พอตรงนั้นจบ เราก็ต้องมีความฝันใหม่ที่ไกลกว่าเดิม เป้าหมายใหม่ของผมคืออยากจะไปในระดับเอเชีย”  

 

ช่างภาพ: ธาเกียรติ ศรีวุฒิชาญ

ผู้ช่วยบรรณาธิการแฟชั่น: ตะวัน ก้อนแก้ว

แต่งหน้า: จิรณัท ตั้งไพศาลกิจ

ทำผม: พิเชษฐ ภูบรรทัด

WATCH