FASHION
Sean Connery: ตำนานที่เกือบไม่ได้รับบท James Bond เพราะถูกมองเป็นแค่สตั๊นท์แมนดาดๆกว่าจะมาเป็น James Bond คนแรกในโลกภาพยนตร์ไม่ง่าย เพราะ Ian Fleming ปฏิเสธเสียงแข็งเพราะคาแรกเตอร์ไม่ตรงที่เขียนไว้ในหนังสือ |
James Bond ชื่อตัวละครเอกที่เราคุ้นหน้าคุ้นหูกันเป็นอย่างดี รหัส 007 คือตัวแทนสายลับเปี่ยมเสน่ห์ที่เป็นต้นแบบของตัวละครในภาพยนตร์ยุคใหม่หลายต่อหลายตัว เพราะฉะนั้นผู้มารับบทนี้จะต้องมีความพิเศษเฉพาะตัว ไม่ใช่แค่แสดงเก่งหรือหน้าตาดุจเทพบุตรเท่านั้น เพราะเจมส์ บอนด์ต้องผสมผสานสร้างความสมดุลทั้งหน้าตา คาแรกเตอร์ และฝีมือการแสดงถ่ายทอดอารมณ์ให้ลงตัวที่สุด Sean Connery คือชื่อเจมส์ บอนด์คนแรกในฉบับภาพยนตร์ แต่เชื่อไหมว่าหนุ่มเจ้าสำอางคนแรกเกือบไม่ใช่เขา และเขาเกือบไม่ดีพอจะเป็นพระเอก แต่ทำไมเขาถึงได้รับบทและเล่นต่อเนื่องถึง 7 ภาค ติดตามได้ในบทความนี้เลย
Barry Nelson นักแสดงคนแรกที่ได้สวมบทบาท James Bond / ภาพ: CBS
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักตัวละครเจมส์ บอนด์กันก่อนว่าแท้จริงแล้วคนจะติดภาพว่าตัวละครนี้ถูกสร้างเพื่อบทหลักในภาพยนตร์ตั้งแต่ต้น แท้จริงแล้วเจมส์ บอนด์ถูกเขียนขึ้นในบทประพันธ์ของ Ian Fleming ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 1952 ตัวละครนี้มีบทบาทในเส้นเรื่องของวรรณกรรม 12 เรื่องและเรื่องสั้นอีก 2 เรื่อง ซึ่งชื่อเรื่องส่วนใหญ่ถูกนำมาเป็นชื่อภาคของภาพยนตร์ในยุคหลังที่เราคุ้นหู และเจมส์ บอนด์บุคคลจริงก็ปรากฏขึ้นครั้งแรกในรายการโทรทัศน์ในปี 1954 กับเรื่อง “Casino Royale” โดยมี Barry Nelson เป็นผู้ถ่ายทอดคาแรกเตอร์นี้
ฉากตำนานสุดคลาสสิกตลอดกาลเปิดภาพยนตร์ James Bond เวอร์ชั่นแรกสุดแสดงโดย Bob Simmons / ภาพ: The Suits of James Bond
“2 BOB” หลังจากยุครายกาทีวีของเจมส์ บอนด์เกิดขึ้น แสงแห่งความโดดเด่นจากตัวละครนี้เริ่มเปล่งประกาย Bob Holness คือหนุ่มอีกหนึ่งคนที่รับคาแรกเตอร์นี้มาถ่ายทอดต่อ ครั้งนี้มาในรูปแบบเสียงกับการแสดงละครวิทยุ และอีกหนึ่ง “Bob” ที่ถูกลืมก็คือ Bob Simmons ซึ่งหลายคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของเส้นเรื่องเจมส์ บอนด์มาอย่างจริงจังจะบอกว่าเขาคือเจมส์ บอนด์คนแรก เพราะฉากแสดงปฏิกิริยาตอบสนองยามประสบเหตุอันตราย สัญชาตญาณความเก่งกาจของเจมส์ บอนด์ก็พลั่งพรูขึ้นทันทีด้วยการหันปืนยิงใส่ผู้ร้ายในฉากถูกส่องปืนใส่(กล้องถ่ายผ่านลำกล้อง) ฉากนี้เป็นฉากในตำนานก่อนจะถ่ายใหม่ในแพตเทิร์นเดียวกันแต่ใช้ชอน คอนเนอรีแสดงแทน แต่ก่อนหน้าชอนจะคว้าบทนี้เขาถูกเมินไปอย่างหน้าตาเฉย...
WATCH
Sean Connery ในลุคทักซิโด้จากภาพยนตร์เรื่อง Dr.No / ภาพ: Movie Clothiers
ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่องแรก...สำหรับใครเป็นแฟนของสายลับ 007 นั้นต้องไม่พลาดกับภาคแรกในปี 1962 กับ Dr.No พร้อมคาแรกเตอร์สุดตำนานที่ชอนนำเสนอจนกลายเป็นภาพจำของตัวละครนี้ แต่ตอนแรกสุดนั้นเอียนเจ้าของบทประพันธ์ชิ้นนี้ต้องการหาชายหนุ่มที่ดูมีชั้นเชิงและสง่างามเพื่อมารับบทนี้ ความกำยำล่ำบึกแบบดาราหนังบู๊ชายไม่ได้ตอบโจทย์เอียนแม้แต่น้อย และในตอนนั้นชอนเป็นนักเพาะกายมือสมัครเล่นชาวสกอต เล่นภาพยนตร์มาหลายเรื่องแต่ต้องบอกว่าเขาไม่เตะตาเอียนแม้แต่น้อย เพราะผู้นิยามตัวละครตัวนี้ขึ้นมองว่าเขาก็แค่สตั๊นท์แมนดาดๆ ธรรมดาที่อยู่เต็มอุตสาหกรรมบันเทิง!
Sean Connery (ซ้าย) กำลังสนทนาอยู่กับ Alberto R. Broccoli (ขวา) / ภาพ: THUNDERBALL.ORG
ความโดดเด่นของเจมส์ บอนด์ที่ทำให้เหนือกว่าคนอื่นและทุกคนจดจำก็ต้องพูดถึงชายวัย 30-40 ปีที่ใช้ชีวิตอย่างสุดทางไม่ว่าจะเป็นกิน ดื่ม เที่ยว การพนัน รถ รวมถึงเรื่องผู้หญิง ทักษะต่างๆ เองเจมส์ บอนด์ก็เรียกว่าครบเครื่องทั้งการต่อสู้ เล่นสกี ว่ายน้ำ และตีกอล์ฟ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการแฝงตัวดั่งสายลับ และถึงเขาจะเก่งกาจแค่ไหนเขาก็ไม่ได้ฆ่าคนไม่เลือกหน้า แค่บางครั้งจำเป็นต้องทำหรือแก้แค้นในจุดที่สุดจริงๆ คนจะรับบทนี้ได้ต้องมีความล้ำลึกในตัว เปี่ยมเสน่ห์เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม จะเป็นชอนงั้นเหรอ...ณ ตอนนั้นแทบไม่มีใครคาดคิด เอียนแทบจะไม่เอาเลยคนนี้ แต่ในเมื่อเข้าสู่โลกภาพยนตร์ ผู้สร้างตัวละครไม่มีสิทธิ์ชี้ขาดขนาดนั้น เพราะ Albert R. Broccoli ผู้ก่อตั้ง EON ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเอียนและต้องการให้ชอนรับบทเจมส์ บอนด์คนแรกในโลกภาพยนตร์จริงๆ
ความหล่อเนี้ยบในแบบฉบับ James Bond ของ Sean Connery ในภาพยนตร์ภาค From Russia with Love / ภาพ: BAMF Style
หล่อมาดเท่ มีเสน่ห์ คือคำที่คนนิยามให้กับเจมส์ บอนด์เวอร์ชั่นชอน เขาถูกเลือกจากทีมผู้สร้างก็เพราะเหตุผลนี้ ความเย้ายวนต่างๆ ลุคของชอนเองทำให้เขากลายเป็นต้นตำรับความจ้าชู้เจ้าเล่ห์ในแบบของเจมส์ บอนด์ฉบับคลาสสิกเลยทีเดียว ซึ่งมันต่างกับเวอร์ชั่นงานเขียนพอสมควรเพราะเอียนไม่ได้วางให้ตัวละครเกี่ยวพันกับเรื่องผู้หญิงและเลือดเย็นขนาดนี้ เขาทั้งตื่นตัวต่อทุกสิ่ง ทำผิดศีลธรรม และมีปัญหาเข้ามาพัวพันอยู่ตลอด เขาสร้างบรรทัดฐานเจมส์ บอนด์ไว้สูงตั้งแต่ครั้งแรกกับภาค Dr.No ในปี 1962 และต่อมาภาค From Russia with Love ชอนก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเหมาะสมจริงๆ เหมาะถึงขนาดว่าหลายคนยกให้เขาเป็นเหมือนเจมส์ บอนด์อยู่ในตัวชอนมาโดยตลอด ดีขนาดไหนให้แฟนๆ ลองนึกดูว่าขนาดเอียนเจ้าของเรื่องที่ไม่เคยเปิดใจกับชอนเลยยังกล่าวชมในความลงตัวสมบูรณ์นี้ว่า “มันยากที่จะจินตนาการว่าใครจะมายืนในจุดนี้ถ้าไม่ใช่ชอน” ความหยิ่งผยอง มีเสน่ห์ แต่แฝงด้วยความรุนแรงอันตราย ชอนดึงเอาทุกแง่มุมของตัวละครตัวนี้ออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ จนจากนักเพาะกายดาดๆ สู่นักแสดงชั้นนำระดับโลกในเวลาไม่นานนัก
Sean Connery กับฉากทักซิโด้ขาวในตำนานของ James Bond จากภาค Goldfinger / ภาพ: The Verve
จากนักเพาะกายถึกทนสู่หนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้โปรยความเย้ายวนให้หญิงสาวติดใจและหนุ่มๆ ก็ยึดถือเป็นต้นแบบแห่งความเพอร์เฟกต์ และเชื่อไหมว่าเขาปาดหน้าแสดงบทเจมส์ บอนด์ก่อน David Niven นักแสดงคนแรกที่เอียนนึกถึงความเป็นสายลับคนนี้มาตั้งแต่ต้น ชอนแสดงเจมส์ บอนด์มาถึง 4 ภาครวดตั้งแต่ Dr.No (1962), From Russia with Love (1963), Goldfinger (1964) และ Thunderball (1965) ก่อนจะเว้นระยะไปนานกว่า 6 ปี และกลับมาอีกครั้งกับ Diamonds Are Forever (1971) ก่อนจะปิดฉากสุดท้ายในฐานะเจมส์ บอนด์ด้วย Never Say Never Again (1983) ซึ่งถ่ายทำตอนชอนอายุกว่า 52 ปีเลยทีเดียว
Sean Connery ในวัย 52 ปีกับภาพยนตร์ James Bond เรื่องสุดท้ายของเขา Never Say Never Again / ภาพ: The Suits of James Bond
ขิงแก่เผ็ดร้อนเสมอ...หลังจากพลิกชีวิตจากสตั๊นท์แมนทั่วไปสู่พระเอกแถวหน้า เขารั้งฐานะหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาตลอดแม้อายุจะเกิน 50 กะรัตมาแล้วเมื่อถ่ายทำเจมส์ บอนด์ภาคสุดท้ายของตัวเอง มีคนเคยกล่าวว่า “ไม่ว่าชอนจะหุ่นจะฉุขึ้นเพียงใด นับวันยิ่งแก่ลง แต่เขาก็ยังทำ(แสดงเจมส์ บอนด์)ได้เหนือกว่านักแสดงคนไหนๆ” เรื่องนี้เราไม่ได้พูดกันแค่ปากเปล่ามือเขียนเท่านั้น เพราะถึงแม้การส่งท้ายในบทบาทเจมส์ บอนด์จะโดนวิจารณ์ว่าเป็นภาคที่แย่ที่สุด แต่ในปี 2003 บารมีสายลับรหัส 007 ที่แสดงโดยชอนติดอันดับ 3 ในฐานะฮีโร่ตลอดกาลในโลกภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาทำได้ ตัวตนสายลับระดับตำนานก็เป็นตำนานได้เพราะการต่อสู้บนเส้นทางนักแสดงของตำนานตัวจริงอย่างชอนนั่นเอง...
หุ่น Dad Bod ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Sean Connery เสมอมา / ภาพ: My New Plaid Pants
เรื่องนี้มันสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง ชอนอาจไม่ใช่คนที่ถูกกรอบไว้โดยงานเขียนของเอียนอย่างชัดเจน แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นได้ว่าคาแรกเตอร์บางอย่างมีความเหมาะสมในรูปแบบที่ต่างกันไป ตัวหนังสือที่อ่านไปและอาศัยการสร้างจินตนาการและอารมณ์ร่วมตามเสมอ ในแง่ของภาพยนตร์ความเย้ายวนมีเสน่ห์เกินกว่าปกติอาจทำให้หนังรสชาติเลี่ยนได้เหมือนกัน นักแสดงที่เหมาะสมจึงไม่ใช่ความอ่อนหวานเสียจนอ่อนนุ้ม แต่ต้องมีความแมสคิวลีนเพื่อความน่าดึงดูดอย่างเป็นธรรมชาติ ความเหนือจริงที่สามารถเป็นจริงได้ ความแฟนตาซีที่แฟนตาซีอย่างมีหลักการ ทั้งหมดคือนิยามที่นักเพาะกายดาดๆ สตั๊นท์แมนทั่วๆ ไป ถูกมองใหม่สู่ผู้รับบทสายลับระดับโลกรหัส 007 หรือเจมส์ บอนด์ เขาคือ “ชอน คอนเนอรี”
WATCH