FASHION
Seán McGirr หัวเรือใหญ่คนใหม่ ที่ต้องการนำแสงสว่างมาสู่ Alexander McQueenโว้กชวนอ่านบทสัมภาษณ์เจาะลึกการเดบิวต์กับแบรนด์ Alexander McQueen อันเป็นที่จับตามองในครั้งนี้ของ Seán McGirr ที่ได้เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแบบไม่คาดคิด พลังของคนรุ่นใหม่ และ ความก้าวร้าวแบบขี้เล่น |
เรื่อง: Nicole Phelps
“สำหรับผมแล้ว มันคือการส่องแสงเข้ามา” แมคเกียร์กล่าวในขณะที่อยู่ระหว่างการฟิตติ้งครั้งสุดท้ายในกรุงปารีส โชว์เดบิวต์ของเขากับ Alexander McQueen กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสี่วันข้างหน้า
ที่ชั้นล่าง นางแบบ นายแบบมากหน้าหลายตากำลังต่อคิวเพื่อเช็คชุด กล่องใส่เสื้อผ้าจำนวนมากถูกขนเข้าออกผ่านทางประตูหน้า พัดพาอากาศเย็นยะเยือกของเดือนกุมภาพันธ์เข้ามา แต่มันกลับสร้างบรรยากาศที่เร่งรีบอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่บรรยากาศของชั้นบนซึ่งแมคเกียร์นั่งทำงานอยู่นั้นกลับสงบเงียบ
กระดานรวบรวมไอเดียถูกตั้งติดกับฝาผนังโดยมีภาพเขียนบนผ้าใบของ เดวิด แฮมมอนส์ (David Hammons) ภาพประติมากรรมรูปรถของ จอห์น แชมเบอร์เลน (John Chamberlain) และภาพโทรศัพท์ iPhone ของแมคเกียร์เองที่หน้าจอแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี โดยทั้งหมดถูกติดเรียงรายกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังมีรูปถ่ายของคนหนุ่มสาวในลอนดอนจากในอดีตและปัจจุบันถูกติดสลับกันไปมา ไม่ว่าจะเป็น เคต มอส (Kate Moss) ในช่วงที่กำลังเดตกับ พีท โดเฮอร์ตี (Pete Doherty) เอมี ไวน์เฮาส์ (Amy Winehouse) สมัยทำผมทรงรังผึ้ง กับชุดเดรสเกาะอก และ เบเบ้ พาร์เนล (Bebe Parnell) นักเรียนอ็อกซ์ฟอร์ด ที่แมคเกียร์ตั้งใจจะให้เขาขึ้นเดินในโชว์ครั้งแรกของเขา
รองเท้า clodhoppers ที่ถูกออกแบบโดยอ้างอิงจากกีบม้าที่วางรวมอยู่กับรองเท้ามากมายที่ถูกวางเรียงรายกันบนชั้นวาง ลุคที่ถูกอนุมัติมีทั้งผ้าลายตารางหมากรุกที่คุ้นตา และผลงานอื่นๆที่ได้รับการประดับประดาประณีตงดงามก็ถูกแขวนอยู่บนราวแขวนแล้วเช่นกัน
“ผมเริ่มต้นด้วยการชมคอลเล็กชั่น Birds” แมคเกียร์บอกฉันเมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมาตอนที่อยู่ที่สตูดิโอในกรุงลอนดอน โดยกล่าวถึงโชว์ฤดูใบไม้ผลิปี 1995 ของ ลี อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน (Lee Alexander McQueen) ซึ่งเป็นโชว์ที่ให้ความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับตัวเขามากที่สุด
“สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดเกี่ยวกับโชว์นั้นก็คือความเรียบง่ายของมัน แต่มันกลับมีความซับซ้อนซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแจ็คเก็ตที่เสริมช่วงไหล่หลายชั้น หรือปกเสื้อที่มันออกจะสูงเกินไปนิดหน่อย มันเป็นเหมือนกับการตัดเย็บเสื้อผ้าที่ประณีตสวยงามขึ้นมา แล้วก็ขับรถทับมัน ทำให้เกิดอะไรใหม่ๆ รับบางสิ่งเข้ามา พลิกแพลงมัน บดขยี้มัน แล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
แน่นอนว่าหน้าที่ของแมคเกียร์คือการนำเอาสิ่งใหม่ๆมาสู่แบรนด์ Alexander McQueen ในวันที่ข่าวถูกประกาศออกไป จานฟิลิปโป เทสต้า (Gianfilippo Testa) CEO ของแบรนด์ได้กล่าวว่า “เขาจะนำภาษาแห่งความสร้างสรรค์อันทรงพลังมาสู่แบรนด์” เพื่อจะทำแบบนั้น เขาจะต้องใส่มุมมองความเป็นชาวยุค Millennial ของเขาเข้าไป
“สำหรับผม มันควรที่จะต้องสามารถถ่ายทอดพลังของคนรุ่นใหม่ออกมาได้ และมันควรจะเกี่ยวกับลอนดอนกับความผสมผสานอันหลากหลายของมุมมองคนหนุ่มสาว (Youth Culture) ที่ผมพบเห็นเรื่อยมาในเมืองนี้ ผมอยากให้มันถูกถ่ายทอดออกมา” ไม่เท่านั้น “มันจะต้องดึงเอาความเร้าใจที่กระตุ้นให้มีแรงตอบรับ เพราะนั่นเป็น DNA ของแบรนด์ McQueen มีความก้าวร้าว ดุดัน แต่เป็นความก้าวร้าวที่ผสมความขี้เล่น”
กางเกง Bumsters จะออกมาในคอลเล็กชั่นนี้ไหม? กางเกงเอวต่ำถึงสะโพก ที่เผยให้เห็นง่ามก้นวับๆแวมๆ อันโด่งดังของ McQueen ซึ่งได้ปรากฏในรันเวย์อื่นๆของซีซั่นที่ผ่านมา แต่แมคเกียร์ไม่ได้นำเสนอมันออกมาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น ในทางตรงกันข้าม เขาได้อัพเกรดลุคของมันให้โฉบเฉี่ยวขึ้นอีกเป็นสิบเท่าเลยทีเดียว “สำหรับผม นี่คือเวอร์ชั่นโมเดิร์น มันก็จะคงมีความเอวต่ำแบบสุดๆอยู่ แต่มันจะเป็นทรงหลวม และมันก็จะนำเสนอความเท่ห์ๆมากกว่า” เขายังกล่าวอีกด้วยว่า McQueen เวอร์ชั่นใหม่นี้ จะไม่ควรจะสร้างความรู้สึกว่า ”ใส่ยาก” อีกต่อไป
การขยับขยายสินค้าเสื้อผ้า Ready-to-Wear เป็นสิ่งสำคัญมากของงานนี้ แมคเกียร์กล่าวว่า รองเท้าผ้าใบยังเป็นสินค้าที่มีส่วนช่วยด้านธุรกิจมากที่สุดในตอนนี้ และมันน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมอย่างแมคเกียร์
“ผมมักจะใส่ความตั้งใจลงไปในทุกสิ่งที่ผมทำเสมอ” แมคเกียร์กล่าว “ผมย้ายมาอยู่ลอนดอนตอนอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์หลังจากที่ผมเรียนจบจากโรงเรียน และตอนนั้นพ่อแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ เพราะว่าผมแสดงความตั้งใจให้พวกเขาเห็น
ขณะนี้ ในวัย 35 ปี หากมองย้อนกลับไป แมคเกียร์เองก็เคยเป็นหนึ่งในวัยรุ่นลอนดอนที่แต่งตัวและมีไลฟ์สไตล์นอกกระแสเหมือนกับกลุ่มวัยรุ่นในยุคที่ ลี แม็กควีน ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2010 ที่เขาพูดถึง ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่เด็กชายชาวไอริชคนนี้กำลังยื่นเพื่อเข้าเรียนที่ Central Saint Martins ด้วยความตั้งใจที่จะต่อยอดสายอาชีพด้านแฟชั่น
สองแฟชั่นโชว์สุดท้ายของแม็กควีน คอลเล็กชั่น Horn of Plenty และคอลเล็กชั่น Plato’s Atlantis ได้สร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างมาก “ตอนนั้นผมอายุ 20 ปี… มันเป็นปีที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตของผม และโชว์สองครั้งสุดท้ายนั้นได้ปลูกฝังแรงบันดาลใจมากมายให้กับผม Plato’s Atlantis แข็งแกร่งและทรงพลังมากๆ ”มันมีอิทธิพลอย่างมากกับตัวผม และยังมีอิทธิพลกับมุมมองและตัวตนของสิ่งต่างๆอีกด้วย อย่าง เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) กับ ’Bad Romance’ มันฝังลึกลงไปในใจจริงๆ”
ชีวิตในวัยเด็กของแมคเกียร์เติบโตขึ้นมาในย่านชานเมืองที่ค่อนข้างธรรมดาในกรุงดับลิน และอยู่กับพ่อแม่ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แม่ของเขาเป็นพยาบาล ส่วนพ่อของเขาเป็นช่างเครื่อง (ทั้งพ่อ แม่ รวมถึงน้องชายและน้องสาวของเขาก็ได้รับเชิญมาดูโชว์ครั้งสำคัญนี้ด้วย)
“ในวัยเด็ก ผมแทบจะไม่ได้คลุกคลีกับแฟชั่นเลย สิ่งที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าแฟชั่นครั้งแรกก็คือภาพยนตร์” แมคเกียร์กล่าว พ่อของเขาชอบผู้กำกับชื่อ Tarantino มาก ก็เลยแนะนำให้เขาดูหนังเรื่อง Reservoir Dogs และ Pulp Fiction “ตัวละครเหล่านี้เป็นบุคคลชายขอบของสังคม ถูกปฏิบัติราวกับคนนอก ดูอันตรายเล็กน้อย แต่ผมกลับคิดว่ามันเท่ห์มากๆ”
ก่อนหน้านั้นแมคเกียร์เคยอยากเป็นนักข่าว แต่ภาพยนต์เหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบว่าเขาสามารถสื่อสารสิ่งที่เขาต้องการผ่านทางเสื้อผ้าได้ “นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงรัก McQueen มากๆ เพราะมันมักจะมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าพวกนั้นเสมอ” แมคเกียร์กล่าว
คุณย่าของเขาที่ทำงานเป็นนักจัดตกแต่งวินโดว์หน้าร้านค้า เป็นคนแนะนำให้เขารู้จักกับการเย็บผ้าเป็นครั้งแรก เขาเริ่มซื้อเสื้อผ้าวินเทจและนำมาปรับแต่ง และยังตัดเย็บลงบนชุดนักเรียนของเขาเองด้วย “ไอเดียในการปรับแต่งในครั้งนั้น ผมอยากจะสื่อบางอย่างออกมาผ่านทางการทำให้มันสอดคล้องพอดีกัน นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมหลงใหลอย่างมาก”
เมื่อเขามาถึงลอนดอน เขาเข้าทำงานที่ร้านรองเท้าแห่งหนึ่งบนถนน Oxford แต่ก็ทำได้ไม่นาน “ผมได้รับประสบการณ์โฮโมโฟเบีย (หรืออาการเกลียดกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ) พนักงานบางคนทำตัวหยาบคายหลังจากรู้ว่าผมเป็นเกย์ ผมโทรศัพท์หาแม่ แล้วแม่ก็พูดว่า ‘ลาออกไปซะ’ ในคืนนั้นผมเลยไปบาร์เกย์ และเริ่มทำงานที่นั่นแทน”
หลังจากนั้น ต้องขอบคุณ หลุยส์ วิลสัน (Louise Wilson) อาจารย์ประจำสาขาแฟชั่นดีไซน์จาก Central Saint Martins ที่แมคเกียร์ได้สมัครเข้าเรียน ทั้งยังได้รับทุนการศึกษา และสำเร็จการศึกษาในปี 2024
ศิษย์เก่าจาก 5 หรือ 10 ปีก่อนหน้าแมคเกียร์อย่าง ซิโมน รอชา (Simone Rocha) คริสโตเฟอร์ เคน (Christopher Kane) และโจนาธาน ซอนเดอรส์ (Jonathan Saunders) ได้เปิดตัวแบรนด์ของตัวเองทันทีหลังจบการศึกษา แต่แมคเกียร์และเพื่อนร่วมชั้นของเขาเรียนจบมาในปีแห่งภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Recession) นักเรียนส่วนใหญ่จึงเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ และแมคเกียร์ก็ได้เลือกหนึ่งในบริษัทใหญ่เหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งก็คือ Uniqlo แบรนด์ Fast Retailing จากโตเกียว ซึ่งเขาได้ดูแล U line ภายใต้การชี้นำของ คริสตอฟ เลอแมร์ (Christophe Lemaire)
“การได้ไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นสร้างแรงบันดาลใจให้กับผมอย่างมาก ผมได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม ชาวญี่ปุ่นเป็นชาวเกาะ เหมือนกับชาวไอริชนั่นแหละ พวกเรามีความแปลกนิดหน่อย”
หลังจากที่ทำงานที่กรุงแอนต์เวิร์ปกับแบรนด์ Dries Van Noten เขาก็ย้ายกลับมาที่ลอนดอนเพื่อทำงานกับแบรนด์ JW Anderson เขาเริ่มต้นจากการได้รับมอบหมายให้ดูแลคอลเล็คชั่นสำหรับผู้ชายก่อนที่จะได้รับผิดชอบเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงเพิ่มอีก และยังได้เป็นหัวหน้าฝ่าย Ready-to-Wear อีกด้วย
Anderson ยังพูดถึงแมคเกียร์เพิ่มเติมอีกด้วยว่า เขาเอ่ยชื่อ จอห์น กัลลิอาโน (John Galliano) ริค โอเวนส์ (Rick Owens) และดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นอย่าง จุนยะ วาตานาเบ้ (Junya Watanabe) อิซเซ มิยาเกะ (Issey Miyake) และ เรย์ คุวาคุโบ (Rei Kuwakubo) ในฐานะดีไซน์เนอร์ที่เขาชื่นชม “เขาคือคนที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆในมุมมองที่ใครๆไม่สามารถคาดคิดได้ คนที่พยายามและผลักดันไอเดียของตัวเองไปข้างหน้า หรือเปลี่ยนแปลงมุมมองของคุณที่มองเห็นสิ่งต่างๆ”
เกี่ยวกับลักษณะการทำงานของแมคเกียร์ เขากล่าวว่า "ผมเป็นดีไซน์เนอร์มาเป็นเวลา 10 ปี และผมก็ยังคงทำสิ่งเดิมอยู่ ผมมักจะทำงานร่วมกับเด็กๆ และให้พื้นที่กับพวกเขาในการทำงาน แต่ผมก็ชอบที่จะมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน"
นอกจากสไตลิสอย่าง มารี ไชซ์ (Marie Chaix) และผู้ช่วย ทุกคนในทีมเองเคยทำงานกับเขามาก่อน และมีหลายคนทำงานกับตัว ลี แม็กควีน เอง “พวกเราทุกคนต่างต้องการที่จะทำสิ่งใหม่ๆ ผมคิดว่าผมค่อนข้างเปิดกว้างกับคนในวงการครีเอทีฟ และผมค่อนข้างยืดหยุ่นด้วย พวกเขากำลังทำความเข้าใจสิ่งที่ผมชอบ และผมกำลังทำความในสิ่งที่พวกเขาถนัดเช่นกัน”
แมคเกียร์มักจะสวมใส่กางเกงทรงหลวมโครกจากแบรนด์ Dickies และเสื้อไหมพรมจากแบรนด์ Saint James แมตช์กับต่างหูห่วงประดับเพชรที่ทำให้ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
ระหว่างการสนทนากัน เขาเป็นคนที่มักจะสบตาผู้พูดอย่างฉันอยู่เสมอ ซึ่งมันแสดงถึงความจดจ่อกับบทสนทนาที่ดีมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่ฉันเคยพบ เขาเคลื่อนไหวไปมาในสตูดิโอด้วยความคล่องตัว เขาว่ายน้ำในเวลาว่าง และในช่วงเวลาก่อนที่จะจัดโชว์นี้ เขาก็ยังเล่นโยคะอีกด้วย
การขึ้นรับตำแหน่งของแมคเกียร์ก่อนหน้านี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนและไม่พอใจอย่างมากในโลกออนไลน์ ผู้คนต่างกล่าวว่า ‘ก็แค่ผู้ชายอีกคนที่ได้รับตำแหน่งระดับท็อปในโลกแฟชั่น’ และมันยิ่งแย่เข้าไปอีกเพราะเขาดันเข้ามาแทนที่ ซาร่า เบอร์ตัน (Sarah Burton) ดีไซน์เนอร์หญิงอันเป็นที่เคารพรักผู้ทำงานร่วมกับ ลี แม็กควีน ในช่วงเวลาก่อนที่แม็กควีนเสียชีวิต
แมคเกียร์เคารพเบอร์ตันอย่างมาก "สิ่งแม็กควีนนำเสนอเป็นสิ่งที่ซาร่าถนัดและทำออกมาได้ดีอย่างน่าทึ่ง เธอไม่เพียงนำเสนอแบรนด์ออกมาอย่างมีชีวิตชีวาแต่ยังทำให้มันทรงพลังมากขึ้นไปอีก” และการตอบสนองของแมคเกียร์ต่อความสับสนที่เกิดขึ้นต่อการเข้ามาของเขานั้นสะท้อนถึงรูปแบบการทำงานของเขาได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือสไตล์ที่ชอบทำงานร่วมกับทีม และ getting his hand dirty หรือชอบลงมือทดลองทำด้วยตัวเองอย่างจริงจังนั่นเอง
"แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก แต่จริงๆแล้วผมมีความสุขและภูมิใจมากที่การเข้ามาของผมนั้นทำให้เกิดบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง ‘ความหลากหลาย’ ผมได้ทำงานมาในที่ต่างๆทั่วโลก และผมคิดว่าความหลากหลายนี้เองที่ทำให้เกิดความสร้างสรรค์ ผมคิดว่ามันสำคัญมากๆที่จะทำให้บทสนทนาเหล่านี้ดำเนินอยู่ต่อไป
WATCH
ในเดือนที่แล้วแมคเกียร์ได้ปล่อยทีเซอร์ของแคมเปญใหม่ออกมา ซึ่งถ่ายทำโดยศิลปิน ทอมมี่ มาเลคอฟ (Tommy Malekoff) นำแสดงโดย เดบรา ชอว์ (Debra Shaw) และ แฟรงกี้ เรย์เดอร์ (Frankie Rayder) โดยทั้งสองคนได้เคยขึ้นเดินในโชว์ของ ลี แม็กควีน มาก่อนแล้ว แคมเปญนี้นำเสนอโลโก้ดั้งเดิมที่ถูกวาดโดยตัวแม็กควีนเอง (โลโก้ที่มีตัว c อยู่ภายใน Q)
รวมถึงการนำหลับมาของสัญลักษณ์รูปหัวกะโหลกอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ "มันเหมือนกับการละเล่นแบบโกธิคที่สืบทอดต่อกันมาของแบรนด์” เขากล่าว “ผมอยากจะสร้างอะไรที่มันดิบเถื่อน ก้าวร้าว แต่ก็ยังติดขี้เล่นเล็กน้อย” มันสร้างกระแสตอบรับในโลกออนไลน์อย่างล้นหลามเหมือนกับการเปิดตัวทุกๆครั้งที่ผ่านๆมา ครั้งนี้มีทั้งกระด้านดีและไม่ดีผสมปนกันไป แต่แน่นอนว่า แมคกียร์ยังคงตอบสนองกระแสต่อเหล่านั้นอย่างเท่าเทียม "มันทำให้เกิดการแบ่งแยกนิดหน่อย ผมคิดว่ามันเจ๋งมาก และมันก็สำคัญด้วย”
ลี แม็กควีน ได้กล่าวไว้ในยุค 1990s ว่า ”ฉันยอมให้ผู้คนเกลียดงานของฉันดีกว่าให้พวกเขาไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย” ตัวตนของแม็กควีนก็คงจะเป็นอะไรประมาณนี้
แม็กควีนเป็นผู้สร้างความโกลาหลโดยกำเนิด เขาสบายใจกับความดาร์ค แต่กับแมคเกียร์นั้นอาจจะต่างออกไป “แฟชั่นควรจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชม แต่เป็นในเชิงบวก" เขากล่าว "ผมไม่ได้หลงไหลในความดาร์คหรือความมืดมน ความจริงแล้ว ผมคิดว่าสุขภาพจิตของผู้คนบนโลกใบนี้มันค่อนข้างย่ำแย่ และแฟชั่นควรจะช่วยดึงพวกเขาขึ้นมา นั่นคือการหักมุมนิดหน่อยในแนวคิดของผม”
ในคอลเล็คชั่นพรีวิวที่จะเกิดขึ้นที่ปารีส คำที่ถูกใช้คือคำว่า “Rough Glamour” แต่มันก็สร้างแรงบันดาลใจได้ในเวลาเดียวกัน
เพื่อรักษาสมดุลของตนเอง แมคเกียร์ได้ลบโปรไฟล์ Instagram ของตัวเองออกไปเมื่อปีที่แล้ว "ผมเคยชอบมันมาก แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในนั้น ส่วนมากเพราะผมต้องการที่จะรักษาความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน แต่ผมคิดว่ามันเป็นผลดีกับสุขภาพใจของผมที่สุดถ้าผมอยู่ห่างจากมัน”
แต่เขายังคงวิเคราะห์มันสัปดาห์ละครั้ง "มันเป็นเรื่องดีถ้าผมยังคงพยายามจะเข้าใจถึงบริบทของสิ่งที่ผมกำลังพยายามจะก้าวเข้าไปและเข้าถึงมันอย่างลึกซึ้ง" ตามคำชี้แจงของแมคเกียร์ นักวิเคราะห์ที่ทำงานให้เขาอ้างอิงทฤษฏีของจูง (Jung) และไม่ใช่ทฏษฏีของฟรอยด์ (Freud)” “ผมค่อนข้างสนใจในเรื่องจิตใจของมนุษย์ มันทำงานอย่างไร จิตวิทยา เหตุผลที่มนุษย์ทำในสิ่งต่างๆ อย่างที่พวกคุณทราบดี พวกเราอาศัยอยู่บนโลกที่ไวต่อปฏิกิริยามากๆ และมันเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะคิดถึงสิ่งเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะได้เข้าใจว่ารากฐานของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากอะไรกันแน่”
และท้ายที่สุด สถานที่ที่แมคเกียร์จะพาเรามาในค่ำคืนนี้ก็คือ ‘Olympiad’ ตลาดขายส่งอาหารเก่าที่ตั้งใจอยู่ใจกลางไชน่าทาวน์แห่งกรุงปารีส เขาต้องการสร้างบรรยากาศแนว industrial แต่ยังคงสอดคล้องกับธรรมเนียมของ McQueen ที่มักจะจัดโชว์ในสถานที่ที่ห่างไกลจากพื้นที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเหล่าชนชั้นกลาง
ในช่วงเวลาก่อนเริ่มงาน แมคเกียร์ได้เข้าสู่ห้วงอารมณ์อย่างเต็มที่ “ผมคิดว่าแม็กควีนเป็นดีไซน์เนอร์ที่เยี่ยมยอดที่สุดที่เคยมีมา มันน่าตื่นเต้นมาก ผมตื่นเต้นกับอนาคตที่มันกำลังจะเข้ามา”
ข้อมูล : Vogue US
WATCH