ข่าวลือลั่นสนั่นโลกแฟชั่นประจำช่วงต้นปี 2023 คงหนีไม่พ้นข่าวการแต่งตั้ง Pharrell Williams ขึ้นรับตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่ง Louis Vuitton หลังตำแหน่งนี้ถูกปล่อยว่างนานเกิน 1 ปี เนื่องจาก Virgil Abloh เสียชีวิตในช่วงปลายปี 2021 ดูเหมือนว่าข่าวนี้จะเกิดกระแสที่ทำให้คนแฟชั่นออกความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานาท่ามกลางความตื่นเต้น เพราะทุกคนคุ้นเคยกับแนวทางศิลปะของฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์กันเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าศิลปินระดับแถวหน้าของโลกจะมารับหน้าที่ผู้คุมหางเสือของแบรนด์ระดับโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีแต่ดีไซเนอร์ชั้นนำที่รับหน้าที่นี้ทั้งสิ้น (อ่านข่าวการรับบทตำแหน่งของฟาร์เรลล์ได้ ที่นี่)

ลุคแฟชั่นอันจัดจ้านของ Pharrell Williams ที่สะท้อนเซนส์ด้านแฟชั่นอันน่าสนใจ ณ งานประกาศรางวัลแกรมมี่ประจำปี 2023 / ภาพ: Vogue US

     ท่ามกลางกระแสความดีใจย่อมมีคนที่ตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สาวกแฟชั่นหลายคนตื่นเต้นกับสิ่งที่หลุยส์ วิตตองและฟาร์เรลล์จะนำเสนอในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะนี่คือความสดใหม่ที่คนแฟชั่น(อาจ)ถวิลหา แนวคิดการสร้างแนวทางเชิงศิลป์ให้กับห้องเสื้อเก่าแก่แบบนี้ย่อมต้องอาศัยทั้งความสร้างสรรค์ ความเข้าใจในแฟชั่น รวมถึงฝีมือการออกแบบ เชื่อเลยว่าฟาร์เรลล์จะต้องหยิบจับความโดดเด่นมาเขย่าใหม่ให้กลายเป็นผลผลิตติดชื่อหลุยส์ วิตตองที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างแน่นอน

Virgil Abloh กับโมเมนต์ช่วงปิดท้ายโชว์แรกในฐานะหัวเรือใหญ่แบรนด์ Louis Vuitton / ภาพ: WWD

     กระแสตีกลับก็เกิดขึ้นไม่น้อย ต้องเข้าใจก่อนว่าฟาร์เรลล์ไม่ได้เป็นดีไซเนอร์อาชีพ การเข้ามารับตำแหน่งใหญ่คุมแบรนด์ระดับโลกจึงเป็นเรื่องค่อนข้างน่าแปลกใจ ไม่มีใครตัดสินใจว่าฟาร์เรลล์ไม่เจ๋งในเชิงความสร้างสรรค์ ทว่าฝีมือการลงมือทำนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แฟชั่นไม่ใช่แค่การหยิบจับทุกอย่างมาคลุกเคล้ารวมกัน แต่หมายถึงการหยิบจับหลายสิ่งมาผสมผสานด้วยกาวเชื่อมสัมพันธ์ที่เรียกว่าเทคนิคชั้นเชิง ซึ่งหลุยส์ วิตตองขึ้นชื่อเรื่องการคลุกเคล้ามิติทางวัฒนธรรมเข้ากับความละเอียดประณีตอันสะท้อนถึงคุณภาพระดับสูงของแบรนด์อยู่เสมอ ในขณะที่ฟาร์เรลล์กำลังโดนตั้งคำถาม เขาก็ต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเขาเจ๋งพอจะมารับหน้าที่อันหนักอึ้งเช่นนี้

Pharrell Williams กับลุคเก๋ที่ผสมผสานไอเท็ม Louis Vuitton พร้อมปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะในฐานะเซเลบริตี้ / ภาพ: @pharrell

     “ดีไซเนอร์กับเซเลบริตี้คนดัง” บทบาทที่เพิ่มเข้ามาของฟาร์เรลล์กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตในโลกแฟชั่น เขาถูกจับจ้อง แบรนด์เองก็เช่นเดียวกัน มีคอมเมนต์มากมายถาโถมเข้ามาเรื่องความเหมาะสม ก็ใช่ที่แบรนด์มีสิทธิ์ตัดสินใจเด็ดขาดเรื่องนี้ แต่คนก็ยังมองว่าการนำเอาเซเลบริตี้ที่แม้จะโดดเด่นเรื่องศิลปะและแฟชั่นมานั่งหัวเรือใหญ่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์อาจบดบังเส้นทางของเหล่านักสร้างสรรค์แฟชั่นตัวจริงที่พร่ำเรียนและฝึกฝนกันมาอย่างหนัก เมื่อถึงวันที่ช่องว่างแห่งโอกาสเปิดขึ้น เซเลบริตี้คนดังกลับเข้ามาเสียบแทนที่แบบไม่ต้องลุ้น งานนี้จึงเกิดความเห็นอกเห็นใจเหล่าผู้ตรากตรำบนเส้นทางสายแฟชั่นโดยตรง

Pharrell Williams ยืนเคียงข้างประติมากรรม Virgil Abloh ขนาดใหญ่ / ภาพ: @pharrell

     “ผู้อำนวยการสร้างสรรค์” คำนี้กลายเป็นคำที่ถูกนำมาตีความตามบริบทที่แตกต่างกันขึ้นเรื่อยๆ แรกเริ่มเดิมทีเราเห็นดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกมากมายรับตำแหน่งนี้เพื่อกำหนดทิศทางความสร้างสรรค์ของแบรนด์ต่างๆ ให้ออกมามีมิติน่าสนใจ แต่เมื่อฟาร์เรลล์เข้ามายืนในระดับสูงเช่นนี้ เขาก็ต้องหาวิธีนำเสนอแฟชั่นที่กระตุกต่อมความเร้าใจของคนแฟชั่นให้สูงกว่าการคาดการณ์ เพราะถ้าทิศทางเชิงศิลป์ของหลุยส์ วิตตองไม่โดดเด่น อย่าว่าแต่เขาจะโดนตั้งคำถาม เขาอาจจะถึงขั้นถูกสบประมาทเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดีไซเนอร์ตัวจริง(ในมุมมองของคนบางกลุ่ม)

เบื้องหลังความละเอียดประณีตของ Louis Vuitton ที่หลายคนถวิลหาและชวนนึกถึงเหล่าช่างฝีมือผู้อยู่เบื้องหลัง / ภาพ: Haute Living

     นอกจากนี้คำนิยามของผู้อำนวยการสร้างสรรค์ยังกลายเป็นประเด็นถกเถียงใหญ่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ หลายคนออกมาปกป้องฟาร์เรลล์ว่าตำแหน่งนี้คือผู้กำหนดทิศทางความสร้างสรรค์และปูแนวทางให้แบรนด์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีจุดหมาย ในขณะที่อีกฝั่งก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเมื่อไม่ใช่ดีไซเนอร์ตัวจริงหรือจะทำงานแฟชั่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้อย่างไร กรณีของเวอร์จิลนั้นมีการเน้นย้ำเรื่องงานสถาปัตย์ อันสอดคล้องกับงานดีไซน์ และการเป็นผู้นำวัฒนธรรม ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็มีการพูดถึงเรื่องบุคคลเบื้องหลังหรือทีมงานที่ทำงานหนักเพื่อให้ผลงานอันน่าตื่นเต้นเหล่านี้ออกมาสู่สายตาสาธารณชนในแต่ละซีซั่น ทว่าเรื่องนี้ก็ยิ่งตอกย้ำถึงประเด็นเรื่องโอกาสในการเฉิดฉายของคนแฟชั่น เนื่องจากหลายคนมองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการจดจำเท่าที่ควร ตำแหน่งหัวเรือใหญ่มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจนมาถึงยุคของเซเลบริตี้ครองเก้าอี้ พวกเขาที่เป็นผู้ทำให้แนวคิดทุกอย่างกลายเป็นผลสำเร็จกลับไม่ค่อยได้รับการจดจำ อีกทั้งยังไม่ได้พื้นที่ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วย เรื่องนี้จึงถูกหยิบยกมาพูดถึงจนชวนคนฉุกคิดว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตอาจถูกบดบังเพราะเซเลบริตี้อาจเรียกกระแสและมีชื่อติดอยู่ในสารบบมากกว่า อันนำมาซึ่งแนวโน้มยอดขายที่มากขึ้น

ภาพที่แบรนด์ Louis Vuitton ใช้ประกาศตำแหน่งหัวเรือคนใหม่อย่างเป็นทางการ / ภาพ: Louis Vuitton

     มหากาพย์การด่วนตัดสินในมุมมองของตัวเองไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ฟาร์เรลล์ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถยืนหยัดและสร้างสรรค์ผลงานระดับท็อปสมกับตำแหน่งหัวเรือหลุยส์ วิตตองได้จริง ในอีกมุมหนึ่งถ้าเขาพลาดทุกกระแสเชิงลบจะตีกลับมาตัวเขาและแบรนด์อีกระลอก สุดท้ายความสำเร็จของหลุยส์ วิตตองในยุคของฟาร์เรลล์จะเป็นเครื่องมือตัดสินว่า เซเลบริตี้สามารถเป็นหัวเรือใหญ่ของแบรนด์เสื้อผ้าได้หรือไม่ อีกทั้งยุคใหม่ของแฟชั่นจะต้องถูกนำหน้าด้วยเหล่าคนที่สามารถสร้างวัฒนธรรมและเผยแพร่มันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเรื่องความสามารถเบื้องหลังในการผลิตผลงาน และคนเบื้องหลังจะมีโอกาสแจ้งเกิดอย่างไรถ้าต้องต่อสู้กับพลังมหาศาลของคนดัง มากไปกว่านั้นคือความน่าติดตามของโลกแฟชั่นที่ต่อไปอาจมีการเปลี่ยนแปลงและมีโฟลว์ในการคัดเลือกคนทำงาน แนวทางการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สาวกแฟชั่นห้ามพลาดความเคลื่อนไหวนี้เด็ดขาด