FASHION
รู้หรือไม่ว่ากระจกบนรันเวย์จาก 3 แบรนด์ใหญ่ในแฟชั่นวีกล่าสุดกำลังสะท้อนสิ่งที่เกินคาด!เปิดการเจาะลึกรันเวย์กระจกของ 3 แบรนด์ใหญ่ที่สะท้อนความลับอะไรบางอย่างในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด |
เนื้อหาสำคัญ
- รูปแบบโชว์และที่มาของโชว์ของทั้ง Gucci, Dior และ Saint Laurent
- กระจกในมุมมองที่ถูกตีความมากกว่าแค่องค์ประกอบในโชว์
- ความสมบูรณ์แบบเชิงทัศนศิลป์ของกระจกในคอลเล็กชั่นล่าสุด
__________________________________________________________
เมื่อพูดถึงโชว์ส่วนใหญ่คนมักจะนึกถึงการจัดเซตติ้งเรียบง่ายของรันเวย์แบบ Fendi คอลเล็กชั่นล่าสุดหรือฉีกไปอีกแนวก็เป็นการจัดศิลปะแสดงสดแบบฉบับอลังการไปเลยแบบ Chanel กับฉากสุดอลังการ ซึ่งแฟชั่นโชว์ไม่ได้มีมิติเพียงแค่นั้นเพราะลูกเล่นถูกหยิบเอามาสอดแทรกและนำเสนอให้มีมิติที่แตกต่างออกไปเพื่อสะท้อนเสื้อผ้า แบบ และแนวคิดที่นำมาอวดโฉมให้เหล่าแขกคนสำคัญรับชมพร้อมอินไปกับสิ่งที่แบรนด์อยากจะนำเสนอ และกระจกก็เป็นอีกทางเลือกสำคัญที่ทำให้โชว์ต่าง ๆ ในคอลเล็กชั่น Fall/Winter 2019 จากแฟชั่นวีกเมืองใหญ่ดูสะดุดตาน่าสนใจมากยิ่งขึ้น!
กระจกมีความสำคัญเชิงฟังก์ชั่นอยู่แล้วคือการใช้ส่องเพื่อสะท้อนใบหน้าและสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งของชิ้นนี้มีมาแต่โบร่ำโบราณแต่มันไม่เคยเชยเลยเพราะไม่มีอะไรสามารถทดแทนกระจกได้ เมื่อเราต้องการจะสื่อการสะท้อนอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย รูปวาดหรือแม้แต่แฟชั่นโชว์เองก็สามารถหยิบเอากระจกมาใช้พร้อมลูกเล่นหลากหลายรูปแบบทั้งความโค้ง แสงไฟ รูปทรงหรือแม้แต่ตำแหน่งการจัดวาง นั่นทำให้โชว์แต่ละโชว์ที่ใช้อุปกรณ์คลาสสิกเช่นนี้แตกต่างแม้จะใช้วัสดุที่เหมือนกัน วันนี้เราจะพาสาว ๆ โว้กไปชมโชว์ของแต่ละแบรนด์ว่าพวกเขาจัดใช้กระจกทำไม สื่ออะไร และรูปแบบการจัดวางจะทำให้โชว์นั้นสวยสดงามขนาดไหนถึงต้องเป็นที่พูดถึงกันยาวเลยเถิดแฟชั่นวีกมาขนาดนี้...
1.Gucci
เริ่มกันที่ Gucci โชว์ที่เปรียบเสมือนการเปิดมิลานแฟชั่นวีกที่ทุกคนรอคอย ก่อนโชว์จะเริ่มบัตรเชิญที่ส่งให้เหล่าแขกผู้ร่วมงานเป็นหน้ากากเทพเจ้าเฮอร์มาโฟรไดตัสที่ผสมผสานความเป็นหญิงและชายในร่างเดียวกัน แต่ทว่าความพิเศษและคอนเซปต์เสื้อผ้าคงมีคนพูดถึงกันบ้างไม่มากก็น้อย วันนี้เราจะหยิบยกเรื่องราวของกระจกและแสงไฟในโชว์แบบนี้กันบ้าง ด้วยความที่หน้ากากแสดงถึงอัตลักษณ์เรื่องเพศซึ่งไม่จำเป็นต้องหญิงหรือชายที่มีตัวตนความเป็นกุชชี่ ความเสมอภาคส่งต่อมีถึงรูปแบบโชว์ด้วยไฟแอลอีดีกว่า 120,000 ดวงพร้อมกระจกติดมุมเฉียงเตรียมสะท้อนแสงไฟ เพราะความหมายที่ซ่อนอยู่จากการเชื่อมโยงสิทธิ์เรื่องเพศไปจนถึงเสื้อผ้าที่ไร้เส้นแบ่งเพศต้องถูกนำเสนอให้สอดคล้องไปด้วยกัน รันเวย์กระจกระยะยาวกว่า 100 เมตรจะสะท้อนแสงไฟและสาดส่องไปที่ชุดอันไร้ขีดจำกัดของกุชชี่
WATCH
1 / 4
2 / 4
3 / 4
4 / 4
ฉะนั้นแล้วกระจกของกุชชี่รวมกับแสงไฟที่สาดส่องมันทำให้เราจ้องมองเสื้อผ้าและบุคคลที่เดินตลอดโชว์ว่านี่คือเสื้อผ้าที่แปลกใหม่ ให้เราพินิจพิจารณาว่าความหวือหวาของแต่ละลุคที่มีทั้งไฟทั้งและสะท้อนรายละเอียดทุกอณูผ่านภาพในกระจก สุดท้ายเราก็ถูกบังคับให้สนใจในความสวยงามของเสื้อผ้า แอ็กเซสเซอรี่และองค์ประกอบของตัวแบบเท่านั้น ลองนึกภาพดูสิว่าเราดูแฟชั่นโชว์ในขณะที่มีเวลาแค่ประมาณ 10 นาทีเราเราจะมองข้ามแสงไฟและสิ่งสะท้อนให้เราจับผิดว่าหญิงหรือชายไปโดยปริยาย ก็เหมือนโลกเรานี่ล่ะหากเราไม่โฟกัสสาดความโดดเด่นให้เรื่องเพศยังไงเราทุกคนก็เป็นมนุษย์ และสามารถชื่นชมในสิ่งที่เสมอภาคซึ่งกันและกันไม่ว่าหญิงหรือชายก็ใส่เสื้อผ้าได้สวยเลิศไม่ต่างกัน...
2.Dior
ความตื่นเต้นของโชว์ Dior นอกจากเสื้อผ้าที่ Maria Grazia Chiuri สร้างสรรค์ออกมาโดยเน้นลายตารางสีเขียวและแดง พร้อมแอ็กเซสเซอรี่ที่น่าจับตามองทั้งรองเท้า กระเป๋า และที่สำคัญที่สุดคือบัคเกตแฮตที่กำลังจะกลับมาฮิตอีกครั้งในปี 2019 นี้ บอกเลยว่าโชว์ของดิออร์สร้างความประทับใจให้กับใครหลายคนอย่างมาก ยิ่งมองขึ้นไปตามผนังของสถานที่จัดแสดงจะเห็นรูปร่างของผู้หญิงขดตัวเป็นรูปอักษรอัลฟาเบตตั้งแต่ A-Z โดยฉากที่เป็นซุ้มสำหรับทางเดินเข้าถูกติดภาพเซตติ้งเป็นคำว่า “D I O R” อย่างพอดิบพอดี เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นจุดยืนเรื่องเพศของดิออร์ที่นำเสนอในคอลเล็กชั่นเรดี้ทูแวร์สำหรับ Fall/Winter 2019 นี้ ซึ่งอักษรมนุษย์เป็นงานศิลปะภาพถ่ายและไอเดียรวมกันของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของบ้านดิออร์กับ Tomaso Binga แน่นอนว่าแค่ประเด็นเรื่องอักษรและการนำเสนอก็น่าจะทำให้แฟน ๆ ของแบรนด์ที่มีโอกาสได้เข้าชมโชว์ครั้งนี้อิ่มหนำไปกับบรรยากาศแบบเลดี้ดิออร์ที่แข็งแกร่งขึ้นตามพลังสตรีในปัจจุบัน แต่ยังมีอีกสิ่งที่คนอาจจะลืมไปสำหรับโชว์นี้คือ "กระจก" แผ่นใหญ่บนศีรษะของทุกคน
1 / 5
2 / 5
3 / 5
4 / 5
5 / 5
ดิออร์ติดภาพสตรีไว้ตามผนังพร้อมแบ่งล็อกการเดินให้นางแบบไว้ 2 ช่องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นทำให้มันดูขาดความหวือหวาและรู้สึกคับแคบไปสักหน่อย ทางแบรนด์จึงหยิบเอาเทคนิคเรื่องกระจกมาใช้ อาจจะต่างจากกุชชี่ที่ไม่มีการติดไฟหลักแสนดวง แต่แบรนด์สุดคลาสสิกจากฝรั่งเศสเลือกเอากระจกมาขยายสเกลรันเวย์รูปตัวยูที่ดูยาวแต่แคบให้กว้างขึ้นเป็น 2 เท่ากลายเป็นว่าโชว์นี้เป็นมุมมองที่กว้างโปร่ง ประกอบพื้นสี ผนังและไฟเป็นสีขาวทั้งหมดทำให้รันเวย์ดูสะอาดตาทำให้ลุคสีดำ แดงและเขียวออกมาโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด และข้อดีของการใช้กระจกครั้งนี้ทำให้แขกในงานเปลี่ยนบรรยากาศตัวเองมาดูภาพรวมของคอลเล็กชั่นหรือแอบเล็งลุคโปรดก่อนจะมาโคลสอัพถึงหน้าจริง ๆ แต่เทคนิคเรื่องความสวยงามและสร้างสรรค์บรรยากาศสุดพิเศษไม่ใช่ทั้งหมดของกระจกขนาดใหญ่บนศีรษะของเหล่าแขกวีไอพี ย้อนกลับไปมองรูปภาพของเหล่าสตรีขดรูปเป็นอักษรแต่ละภาพมีขนาดใหญ่พอสมควรทำให้สายตาและมุมมองแคบมองเห็นแค่ไม่กี่ภาพ แต่กระจกนี้ทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นว่าพลังหญิงมันมีอยู่ทุกที่แตกต่างรูปแบบเหมือนอักษรที่ขดต่างกัน แม้ว่าจะนั่งตรงข้ามไกลจากจุดสตาร์ตของเหล่านางแบบ เมื่อมองขึ้นไปก็ยังสามารถเห็นได้ตั้งแต่ A-Z และที่สำคัญทั้งชุด โชว์ ความหมาย และอักษรการขดร่างกายคำว่า “DIOR” กระจกบานใหญ่จะสะท้อนกลับมาว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของพลังอันแข็งแกร่งที่มาเรียกำลังจะสื่อสารให้ทุกคนได้เข้าใจในคอลเล็กชั่นสุดพิเศษนี้
3.Saint Laurent
ต้องบอกก่อนว่าโชว์นี้เป็นที่จับตามองมากอีกโชว์หนึ่งของปารีสแฟชั่นวีก Saint Laurent ภายใต้การนำทัพของ Anthony Vaccarello กำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับเราอยู่ บางครั้งก็ออกมาน่าสนใจ บางครั้งก็ออกมาน่าฉงนเสียอย่างนั้น ครั้งนี้ผู้ที่ได้รับเชิญจากแบรนด์เข้ามานั่งในอเวนิวสำหรับการนำเสนอคอลเล็กชั่น Fall/Winter 2019 ต่างก็ตื่นตาตั้งแต่นางแบบยังไม่เดินอวดโฉมบนรันเวย์ ทั้งบรรยากาศโทนมืดดำแต่ถูกส่องสว่างด้วยหลอดไฟสีขาว รวมถึงสะท้อนด้วยกระจก แต่เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งคิดว่ามันจะไม่ได้มีอะไรยิ่งใหญ่อลังการไปกว่าแค่กระจกกับไฟ เพราะภายนอกของสถานที่จัดยังถูกเนรมิตเป็นสิ่งปลูกสร้างประดับกระจกขนาดใหญ่มโหฬารเมื่อถ่ายภาพมาจะเห็นลักษณะกล่องกระจกประกอบกันหลาย ๆ ชิ้นโดยมีพื้นหลังเป็นหอไอเฟล ช่างสวยงามสำหรับเทคนิคการใช้กระจกในปี 2019 จริง ๆ รูปแบบอุปกรณ์โบราณแบบนี้จะเข้ากับโชว์ได้อย่างไร และมันจะสะท้อนถึงแง่มุมอะไรบ้างเมื่อแอนโธนี่ต้องพิสูจน์ให้แฟน ๆ แซงต์ โลรองต์เชื่อมันให้ได้ว่าเขาจะนำเสนอในสิ่งที่พิเศษตามที่หลายคนคาดหวังกับการรับไม้ต่อจาก Hedi Slimane
1 / 4
2 / 4
3 / 4
4 / 4
เสียงดนตรีดังขึ้น...นางแบบคนแรกเดินออกมาพร้อมลุคเสื้อโค้ตกลิ่นอาย ‘80s จากซิลูเอตแบบ Power Shoulder นั่นทำให้คนเริ่มเดาทิศทางของคอลเล็กชั่นนี้ได้บางส่วน แต่มันสนุกขึ้นจากการสร้างมิติความแปลกใหม่ด้วยกระจกให้กับลุคได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการนั่งดูแฟชั่นโชว์ทำให้เห็นลุคได้เพียงมุมมองเดียว แต่กลับกันการจัดเซตติ้งแบบนี้ทำให้เหมือนเราได้เห็นลุคของเหล่านางแบบแบบรอบตัวครบทุกลุคโดยที่ไม่ต้องเดินวนย้อนกลับมาด้วยซ้ำ เพิ่มเติมความพิเศษมากกว่าแค่การสะท้อนลุคในมุมมองแบบ Full-Covered คือโชว์ถูกนิยามว่าเป็นดิสโกเทคแห่งปารีส ชื่อนี้ได้มาจากฟินาเล่กับนีออนโกลว์เรืองแสงจากชุดที่ได้เห็นซิลูเอตกันแบบเน้น ๆ มันคือการสะท้อนมุมมองใหม่ ๆ ภายใต้คอนเซปต์เดียวกับเสื้อผ้าอันสนุกสนานแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายตามแบบฉบับยุค ‘80s ที่ถูกตีความใหม่อย่างเข้มข้น กระจกนี้เป็นโบนัสสุดท้ายที่เติมเต็มโชว์ของดีไซเนอร์ผู้แบกรับความกดดันว่า “นี่ล่ะคือ ‘80s และมันคือผลงานของฉัน” แอนโธนี่อาจจะอยากพูดเช่นนี้ผ่านการจัดวางองค์ประกอบของรันเวย์ให้เหมือนแสนเหมือนกระจกในห้องแต่งตัวตามหลังโรงละครรวมถึงการประดับตามป้ายในยุค ‘80s อย่างปฏิเสธไม่ได้ นี่คือความลับชิ้นสุดท้ายที่ประกอบให้กลิ่นอันคละคลุ้งแห่งช่วงเวลาเมื่อ 30 ปีที่แล้วเติมเต็มโชว์ของแซงต์ โลรองต์คอลเล็กชั่น Fall/Winter 2019 ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
WATCH